iPhone จอเบิร์น ทำอย่างไรดี? พร้อมแชร์วิธีป้องกัน และแก้ไขแบบง่าย ๆ

iPhone จอเบิร์น, จอเสีย, จอแตก, จอเหลือง ทำอย่างไรดี? พร้อมแชร์วิธีป้องกัน และแก้ไขแบบง่าย ๆ

iPhone screen burn-in

สวัสดีเพื่อน ๆ ผู้ติดตาม ninethaiphone ทุกท่านค่ะ สำหรับใครที่ใช้งาน iPhone แล้วพบกับปัญหาหน้าจอบางมุมสีผิดเพี้ยน จอสีซีด จอเหลือง หรือหนักหน่อยถึงขั้นจอเบิร์น (Burn-in) ขึ้นภาพเงาลาง ๆ ขึ้นซ้อนทับ วันนี้เรามีบทความ How To วิธีป้องกันจอเบิร์นบน iPhone พร้อมแชร์วิธีป้องกัน และแก้ไขแบบง่าย ๆ มาฝากให้ได้ชมกัน พูดแล้วอย่ารอช้า เราไปชมรายละเอียดทั้งหมดกันเลยค่ะ

iPhone-X-Burn-in

จอเบิร์นคืออะไร?

อาการจอเบิร์น หรือ Screen Burn-in คือ อาการจอค้างที่มักเกิดขึ้นกับ iPhone รุ่นที่ใช้หน้าจอ OLED หรือ Super OLED (iPhone 11 Pro, iPhone 11 Pro Max, iPhone XS, iPhone XS Max, iPhone X) รวมถึงหน้าจอ LCD ทั่วไป (iPhone SE 2020, iPhone 11, iPhone XR, iPhone 8, iPhone 8 Plus, iPhone 7, iPhone 7 Plus)  โดยจะเกิดเป็นรอยจาง ๆ หรือภาพขึ้นค้างอยู่แบบนั้นบนหน้าจอ คล้ายกับอาการจอเสีย แม้ว่าเราจะเปลี่ยนภาพบนหน้าจอไปแล้ว แต่รอยนั้นก็ยังคงค้างอยู่ไม่หายไปไหน

สาเหตุมาจากการแสดงภาพหรือตัวอักษรบนหน้าจอเป็นระยะเวลานานเกินไปโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่ง มักจะเกิดในบริเวณหน้าจอที่มีแสงสว่างมาก ๆ แล้วทำให้เม็ดพิกเซลบริเวณนั้นเกิดอาการเสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติ ทำให้บนหน้าจอเกิดเงาของภาพขึ้นมาแบบจาง ๆ การทำมือถือตกหล่นแล้วเกิดอาการจอเบิร์น, จอแฮงค์, จอแตกใช้งานไม่ได้

รวมถึงขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการใช้งานของเราด้วย ถึงแม้ว่าอาการจอเบิร์นจะไม่ส่งผลใด ๆ กับแอปฯ และฟังก์ชันการใช้งานในเครื่องแบบโดย แต่ก็สร้างความรำคาญให้กับผู้ใช้งานได้ไม่น้อยเลย ทั้งยังบดบังรายละเอียดบนหน้าจอทำให้มองเห็นไม่ถนัด และไม่สะดวกสบายตาเวลาใช้งานด้วย

1

วิธีป้องกัน iPhone จอเบิร์น

  • อัปเดต iOS เป็นเวอร์ชันใหม่ ๆ อยู่เสมอ
  • หลีกเลี่ยงการแสดงภาพนิ่งไม่มีการเคลื่อนไหวของภาพที่สว่าง ๆ ติดต่อกันเป็นระยะเวลานานเกินไป
  • การปรับค่าหน้าจอให้มีความสว่างสุดก็เช่นกัน เพื่อยืดอายุการใช้งานของเม็ดสี ควรปรับให้อยู่ในระดับพอเหมาะ ทั้งยังไม่เป็นอันตรายต่อดวงตาของเราอีกด้วย
  • ควรเปิด Auto-Brightness หรือการปรับแสดงสว่างอัตโนมัติช่วยได้ โดยจะเป็นการปรับแสงอยู่ตลอดเวลาบนหน้าจอตามสภาพแวดล้อม
  • ตั้งค่าปิดหน้าจออัตโนมัติโดยใช้ระยะเวลาที่น้อยลง อาจจะตั้งไว้ที่ 30 วินาที หรือ 1 นาทีก็ได้ เพื่อที่จะไม่ให้หน้าจอทำงานหนักจนเกินไป
  • เลือกใช้วอลเปเปอร์โทนสีมืด ๆ เพื่อรักษาหน้าจอ
  • เปิดใช้งาน Dark Mode เพื่อช่วยรักษาหน้าจอ แถมยังช่วยประหยัดแบตเตอรี่ได้อีก
  • ปิดหน้าจอเมื่อไม่ใช้งาน

maxresdefault

วิธีแก้ไข iPhone จอเบิร์น

เบื้องต้นหากเพื่อน ๆ เจอปัญหา iPhone จอเบิร์น ให้ลองปิดเครื่องไว้สักพักแล้วค่อยเปิดเครื่องขึ้นมาใหม่ หรือหากยังไม่หายอาจต้องปิดเครื่องทิ้งไว้เป็นวันแล้วแต่อาการ รวมถึงลองอัปเดตเป็นระบบปฏิบัติการเวอร์ชันล่าสุด เผื่อเกิดจากความผิดพลาดของระบบ

การล้างแคชของระบบก็ช่วยได้ในระดับนึง หรืออาจจะลองรีเซ็ตเป็นการตั้งค่าจากโรงงาน สุดท้ายหากยังไม่หายอีกแนะนำให้ส่งศูนย์บริการเพื่อตรวจสอบและเช็คเครื่อง หากมีอาการรุนแรงอาจต้องเปลี่ยนหน้าจอใหม่ โดยเราได้มีราคาซ่อมหน้าจอของ iPhone รุ่นต่าง ๆ มาอัปเดตให้เพื่อน ๆ ได้ทราบกันด้วยดังนี้

screen-10.12.36[12.05.2020]

รุ่นของ iPhone การซ่อมหน้าจอ  การซ่อมหน้าจอ
(AppleCare+) (ไม่อยู่ภายใต้การรับประกัน)
iPhone 11 Pro Max 1,000.- 10,900.-
iPhone 11 Pro 1,000.- 9,200.-
iPhone 11 1,000.- 6,600.-
iPhone XS Max 1,000.- 10,900.-
iPhone XS 1,000.- 9,200.-
iPhone X 1,000.- 9,200.-
iPhone XR 1,000.- 6,600.-
iPhone 8 Plus 1,000.- 5,600.-
iPhone 8 1,000.- 4,900.-
iPhone 7 Plus 1,000.- 5,600.-
iPhone 7 1,000.- 4,900.-
iPhone 6s Plus 1,000.- 5,600.-
iPhone 6s 1,000.- 4,900.-
iPhone 6 Plus 1,000.- 4,900.-
iPhone 6 1,000.- 4,300.-
iPhone SE 2020 1,000.- 4,300.-
iPhone SE 1,000.- 4,300.-
iPhone 5s, iPhone 5c 1,000.- 4,300.-

*ข้อมูล ณ มิ.ย 63

อัปเดตราคาซ่อมหน้าจอได้ที่ : https://support.apple.com

ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพ SureCanDo, appleinsider.com, ioshacker.com