dtac แสดงคำมั่นร่วมองค์การ Unicef Thailand ว่าด้วยเรื่องการส่งเสริมสิทธิเด็ก

ดีแทค แสดงความพร้อมเป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ที่ทำธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อสังคม ด้วยการแสดงคำมั่นในการส่งเสริมสิทธิเด็กและหลักปฏิบัติทางธุรกิจ ร่วมองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย และสถาบันไทยพัฒน์ ในโครงการ Child-Friendly Business พร้อมอีก 30 บริษัทชั้นนำของประเทศ พร้อมประกาศพันธกิจของดีแทคเพื่อเด็กและเยาวชน คือการสร้างคุณค่าทางสังคมและความยั่งยืนในธุรกิจ

Online_1

นายลาร์ส นอร์ลิ่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค กล่าวว่า “พันธกิจของการทำธุรกิจของดีแทค คือการตั้งมั่นเป็นบริษัทชั้นนำที่ดำเนินธุรกิจอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ด้วยหลักธรรมาธิบาล นั่นหมายถึงการมุ่งมั่นมอบบริการเพื่อให้ผู้บริโภคได้มีโอกาสใช้งานอินเทอร์เน็ตได้อย่างทั่วถึงและเท่าเทียมด้วยกลยุทธ์ Internet for All และบริหารงานเพื่อทำผลกำไรให้เกิดขึ้นเชิงนัยยะการเติบโตทางธุรกิจของบริษัท ในขณะเดียวกันความรับผิดชอบต่อสังคมและการทำงานด้านการพัฒนาที่อย่างยืน (Corporate Social Responsibility & Sustainability) ก็เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องทำควบคู่กัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มเด็กและเยาวชนซึ่งเป็นกลุ่มวัยที่ทั่วโลกให้ความสำคัญและสหประชาชาติประกาศเป็นวาระของโลกในการร่วมกันปกป้องสิทธิและเสรีภาพตั้งแต่แรกเกิด พร้อมการสนับสนุนให้พวกเขาได้รับการศึกษาและการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสำหรับในธุรกิจดีแทคแล้วเด็กและเยาวชนนับเป็นกลุ่มลูกค้าฐานใหญ่ที่มีอัตราการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตสูงถึง 75% และมีการใช้งานอินเทอร์เน็ตมากที่สุดถึง 54.2 ชั่วโมง /สัปดาห์  (เกือบ 8 ชั่วโมงต่อวัน ) ดังนั้นเมื่อเกิดการใช้งานเพิ่มมากขึ้น สิ่งที่เราต้องทำในฐานะผู้นำในธุรกิจนี้คือการปลูกฝัง และสร้างการรับรู้ให้พวกเขาตระหนักถึงการใช้งานอินเทอร์เน็ตอย่างไรให้ปลอดภัยและสร้างสรรค์ให้ความรู้เกี่ยวกับสิทธิ หน้าที่และความรับผิดชอบต่อสังคมในฐานะพลเมืองดิจิทัล (Digital Citizen) พร้อมชี้ให้มองเห็นโอกาสในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจของประเทศได้”

ดีแทค จึงขอแสดงความตั้งใจและพร้อมเป็นบริษัทชั้นนำในตลาดหลักทรัพย์ที่ทำธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อสังคม ด้วยการแสดงคำมั่นในการส่งเสริมสิทธิเด็กและหลักปฏิบัติทางธุรกิจ ร่วมองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย และสถาบันไทยพัฒน์ ในโครงการ Child-Friendly Business พร้อมอีก 30 บริษัทชั้นนำของประเทศ โดยมีพันธกิจของดีแทคเพื่อเด็กและเยาวชนในการปกป้องสิทธิตั้งแต่แรกเกิด ด้วยโครงการต่างๆ ดังนี้

  • โครงการ Best Start เป็นความร่วมมือระหว่างดีแทค ยูนิเซฟ ประเทศไทย และกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เพื่อร่วมกันรณรงค์ ผลักดัน และเสริมความรู้ ให้พ่อแม่ให้ความใส่ใจด้านพัฒนาการของเด็กตั้งแต่แรกเกิด ที่จะนำไปสู่พัฒนาการอันสำคัญในการที่เด็กจะเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ โดยเชื่อว่าการพัฒนาเด็กจะเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาที่ยั่งยืนของสังคมไทย โดยมีรูปแบบการส่งข้อความสั้น (SMS) เกี่ยวกับสุขภาพอนามัยแม่และเด็ก ผ่านโทรศัพท์มือถือไปยังหญิงตั้งครรภ์และแม่ที่มีลูกอายุแรกเกิดถึงสองปีหรือครอบครัว โดยปัจจุบันมียอดผู้สมัคร *1515 รวมทั้งสิ้นกว่า 120,000 ราย
  • โครงการลาเพื่อคลอดบุตรใหม่ได้ 6 เดือน ซึ่งดีแทค เป็นบริษัทเดียวในประเทศไทยที่เพิ่มระยะเวลาการลาของพนักงานหญิง เพื่อเตรียมตัวคลอดและพักฟื้นหลังการคลอด ซึ่งเป็นเวลาอันสำคัญยิ่งที่แม่จะได้ดูแลบุตรอย่างใกล้ชิด เนื่องด้วยผลการวิจัยของโลกพบว่า เด็กแรกเกิดจะได้รับพัฒนาการที่ดีหากได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดจากแม่ในช่วง 6 เดือนแรก โดยบริษัทจะจ่ายค่าจ้างอัตราปกติให้แก่พนักงานซึ่งลาคลอดตลอดระยะเวลาที่ลา ครรภ์หนึ่งไม่เกิน 180 วัน เริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2559 เป็นต้นไป
  • โครงการ Safe Internet อินเทอร์เน็ตปลอดภัยและสร้างสรรค์ ซึ่งเกิดจากการที่เห็นผลกระทบและตัวเลขทางสังคมว่า 80% ของเด็กและเยาวชนไทยเจอภัยคุมคาม ล่อลวง และอาชญากรรมบนโลกอินเทอร์เน็ต (Cyberbully) และเป็นอันดับต้นๆ ของเอเชีย ดังนั้นดีแทค จึงขอเป็นผู้ให้บริการมือถือและอินเทอร์เน็ตรายแรกและรายเดียวที่มุ่งเน้นทำเรื่องนี้อย่างจริงจังและต่อเนื่อง โดยการให้ความรู้ และปลูกฝังจิตสำนึกให้เด็กและเยาวชนได้ตระหนักถึงภัยที่เกิดจากการใช้งานอินเทอร์เน็ตโดยขาดความยั้งคิด และพร้อมสนับสนุนให้เห็นถึงโอกาสในการใช้อินเทอร์เน็ตในทางสร้างสรรค์และนำไปสู่การพัฒนาและเปลี่ยนแปลงสังคมได้ โดยในโครงการนี้จะทำครอบคลุมทั้งเด็กและเยาวชน รวมไปถึงพ่อแม่ผู้ปกครอง และครูอาจารย์ด้วย

dtac_Unicef_3

“ดีแทค รู้สึกยินดีเป็นอย่างมาก ที่วันนี้โครงการสำหรับเด็กและเยาวชนได้รับการสนับสนุนจากองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย และสถาบันไทยพัฒน์ ซึ่งเห็นถึงความตั้งใจของเราและเกิดประสิทธิผลที่แท้จริง และยกย่องให้เราเป็นผู้นำธุรกิจที่มีการทำเรื่องนี้อย่างจริงจัง ผมเชื่อว่าวันนี้ทุกบริษัทให้ความสำคัญกับเรื่องสังคมเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะเรื่องเด็กและเยาวชน เพราะพลังของเด็กและเยาวชนในวันนี้ คือฐานพลังที่ขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตได้ในอนาคต เพราะหากเราสร้างคุณค่าให้เกิดขึ้นกับตัวเขาและสังคมได้ เราก็จะสามารถสร้างคุณค่าให้กับธุรกิจได้อย่างยั่งยืนควบคู่กันไปด้วย” นายลาร์ส กล่าวทิ้งท้าย