ใช้ชีวิตแบบอัจฉริยะอย่างไร ด้วยสมาร์ทดีไวซ์เพียงเครื่องเดียว
ในชีวิตประจำวันของคนยุคดิจิทัลที่อาศัยความรวดเร็วเพื่อความสะดวกสบาย เรามีสิ่งที่ต้องทำเป็นประจำอยู่ไม่กี่อย่าง อาทิ การทำงาน การอุปโภคบริโภค และการปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้าง ยุคสมัยที่เปลี่ยนไปทำให้คนเราที่ใช้ชีวิตในแบบของตัวเองมากขึ้นต้องหาสิ่งอำนวยความสะดวกที่ตอบโจทย์กับวิถีชีวิตของแต่ละคนให้มากที่สุด
ดีไวซ์ที่พกพาสะดวกและช่วยสร้างความบันเทิงและยังทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อม ๆ ไปกับการออกไปพักผ่อน หรือท่องเที่ยว จึงเป็นที่ต้องการมากขึ้น เทคโนโลยีจึงเข้ามามีบทบาทสำคัญเป็นอย่างมาก
จากเมื่อเกือบ 20 ปีก่อนที่แล็ปท็อปถือเป็นนวัตกรรมอำนวยความสะดวกที่น่าตื่นตาตื่นใจแล้ว ในปี 2010 นักพัฒนาก็ได้คิดค้นอุปกรณ์ที่เรียกว่าแท็บเล็ตขึ้นมาอีก ซึ่งเป็นเสมือนลูกครึ่งที่จอกว้างเกือบเท่าแล็ปท็อป แต่ถือไปไหนมาไหนได้เบากว่าเดิมแบบสมาร์ทโฟนแค่ขนาดใหญ่กว่า
ซึ่งทุกวันนี้แท็บเล็ตก็ได้พัฒนามากขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้งานให้ตรงจุดมากที่สุด ลดภาระในการจัดการกับชีวิตของตนเองได้ง่ายกว่าเดิม อุดช่องว่างด้านต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันได้
ทำงานได้แสนสะดวก ส่งงานระหว่างเครื่องได้ทันใจ
ทุกวันนี้คนเราถ่ายรูปด้วยโทรศัพท์มือถือ แต่ถ้าหากต้องนำไปอัพโหลดขึ้นบล็อก หรือในไฟล์งาน ทำในแท็บเล็ตจะสะดวกมากกว่า แล้วถ้าต้องส่งภาพจำนวนเป็นสิบหรือหลายร้อยภาพ จะส่งผ่านอีเมลก็ต้องมาเสียเวลาโยนใส่ลิ้งค์อีก
สมัยนี้เลยมีเทคโนโลยีที่ทำให้สมาร์ทดีไวซ์ต่าง ๆ ที่เป็นยี่ห้อเดียวกันสามารถกดแชร์ แล้วโยนข้อมูลใส่อีกเครื่องได้เลยในเวลาเพียงไม่กี่วินาที ย่นระยะเวลาในการอัพโหลดขึ้นในไดรฟ์ออนไลน์ หรือส่งอีเมลแบบหนักหน่วงไปมาก ซึ่งตอนนี้ไม่ว่าสมาร์ทโฟน หรือแท็บเล็ตก็ทำได้หมดแล้ว
และหนึ่งในนั้น คือ Huawei MatePad T 10 Series ทั้งรุ่น T 10s และ T 10 เป็นตัวอย่างแท็บเล็ตราคาจับต้องได้ที่สามารถเติมเต็มความต้องการในส่วนนี้ หากใครคนใดคนหนึ่งในครอบครัวใช้สมาร์ทโฟนของหัวเว่ย ระบบปฏิบัติการ EMUI 10.1 ขึ้นไป
ก็สามารถส่งรูปจากโทรศัพท์มือถือเครื่องนั้น โดยกดปุ่มแชร์ ไปที่ช่องทาง Huawei Share แล้วเลือก Huawei MatePad T 10s หรือ T 10 ที่เป็นดีไวซ์ปลายทาง เพียงเท่านั้นรูป วิดีโอ ไฟล์เสียง ฯลฯ ที่ไม่ว่าจะไฟล์ใหญ่ขนาดไหน ก็จะเข้าไปอยู่บนแท็บเล็ตด้วยความเร็วที่สูงได้ถึง 150 MB ต่อวินาทีเลยทีเดียว
ใช้งานทุกวันได้อย่างสะดวกสบายทำได้หลายอย่างในเวลาเดียวกัน
เมื่อคนรุ่นใหม่ทำงานกันหนักมากขึ้น จึงต้องการที่จะทำหลายอย่างได้ในเวลาที่สั้นลง เพื่อให้การใช้ชีวิตเต็มที่ที่สุด บางคนทำงานเลิกดึกอาจต้องติดตามข่าวสาร หรือช้อปปิ้ง ระหว่างที่นั่งรถกลับบ้าน ซึ่งถ้าจะให้ดี ถ้าสามารถทำงานหรือเปิดแอปได้สองหน้าจอในเวลาเดียวกัน ก็จะทำให้ท่องโลกออนไลน์ได้เพลิดเพลินยิ่งขึ้น
เช่น เวลาเราซื้อของออนไลน์ เดี๋ยวนี้แล็ปท็อปสามารถเปิดหน้าเมนูหลักไปพร้อมหน้ารายละเอียดพร้อมกันได้แล้ว แต่พอเป็นแอปพลิเคชันบนแท็บเล็ต ก่อนหน้านี้ยังทำไม่ได้ แต่ทุกวันนี้ เราสามารถเปิดหน้าหลักคู่ขนานไปกับการอ่านรายละเอียดอีกหน้าหนึ่งคู่กันได้แล้ว ช่วยให้การสืบค้น และตัดสินใจของผู้บริโภคนั้นแสนสะดวก
ซึ่งอย่าง Huawei MatePad T 10 Series ก็สามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชันบน Huawei AppGallery มาใช้งานในรูปแบบสองจอในแนวนอนได้ หรือเรียกว่า App Multiplier โดยสามารถตั้งค่าแอปฯ ที่จะใช้งานได้ง่าย ๆ โดยไปที่ “การตั้งค่า” ต่อด้วย “แอป” และ “App Multiplier”
จากนั้นก็สามารถเปิดสวิตช์แอปที่ต้องการใช้ได้ทันที โดยเมื่อใช้งานแอปฯ ที่เลือกไว้หน้าจอหลักของแอปจะปรากฏขึ้นที่กึ่งกลางหน้าจอ และย้ายไปทางซ้ายเมื่อเปิดหน้าเนื้อหาอื่น ๆ ขึ้นมาทางขวา แอปฯ บน Huawei AppGallery ที่เป็นที่นิยมในหมู่คนไทยที่สามารถใช้ฟีเจอร์นี้ ได้แก่ Pantip, Lazada เป็นต้น
กระชับความสัมพันธ์กับคนที่เรารักง่าย ๆ ผ่านเทคโนโลยี
ชีวิตคนกรุงหลายครอบครัว คือลูกที่อยู่ในวัยเริ่มทำงานย้ายออกจากบ้านมาเพื่อมาหาที่อยู่ใกล้ออฟฟิศ จะได้ประหยัดเวลาเดินทาง เลยต้องทำให้อยู่ห่างกับครอบครัวไปบ้าง หรือบางคนงานยุ่งจนไม่มีเวลาไปสังสรรกับเพื่อนฝูง และบางครั้งแค่ได้ยินเสียงก็ไม่สามารถคลายความคิดถึงเท่ากับสนทนาแบบเห็นหน้ากันได้ วิดีโอคอลจึงนับเป็นเทคโนโลยีอย่างหนึ่งที่สามารถเข้ามาเติมเต็มในจุดนี้
โดยช่องทางที่นิยมใช้คือแอปพลิเคชันแชทที่ใช้เป็นประจำอยู่แล้ว แต่ด้วยเซิร์ฟเวอร์ที่มีผู้ใช้เป็นล้าน ๆ คน สัญญาณ ความลื่น และความคมชัดของภาพอาจมีติดขัดไปบ้าง นักพัฒนาจึงต้องไม่หยุดยั้งที่จะพัฒนาเทคโนโลยีเพิ่มประสิทธิภาพการติดต่อสื่อสารระหว่างกัน
บริษัทไอทีชั้นนำอย่างหัวเว่ยตระหนักถึงปัญหานี้ดี จึงพัฒนานวัตกรรม Huawei MeeTime ขึ้นมา เพื่อให้การสื่อสารระหว่างสมาร์ทดีไวซ์ทั้งสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต และแล็ปท็อปของหัวเว่ยด้วยกัน สามารถวิดีโอคอลหากันได้แบบไม่ติดขัดแม้ในจุดอับสัญญาณ
โดยกล้องหน้าของเครื่องได้รับการยกระดับให้สามารถเห็นภาพชัดและสวยงามได้ในที่แสงน้อย และยังสามารถใช้ในการประชุมได้ด้วยฟังก์ชัน Screen Sharing ปกติแล้ว Huawei MeeTime จะใช้ได้ในสมาร์ทดีไวซ์รุ่นเรือธง
แต่เป็นครั้งแรกที่ Huawei MatePad T Series สามารถใช้ฟีเจอร์นี้ได้ ซึ่งก็คือบน Huawei MatePad T 10s และ Huawei MatePad T 10 ทำให้ผู้สนใจเป็นเจ้าของแท็บเล็ตที่ตั้งงบไว้จำกัดสามารถใช้งานฟีเจอร์อัจฉริยะนี้ได้เช่นกันโดยไม่ต้องจ่ายแพง
Huawei MatePad T 10s มาพร้อมจอ 10.1 นิ้ว ระบบเสียง Harman Kardon ส่วน Huawei MatePad T 10 มีหน้าจอกว้าง 9.7 นิ้ว พร้อมเทคโนโลยี Huawei Histen 6.1 และมีมุม Kid’s Corner ให้พ่อแม่ผู้ปกครองสามารถกำหนดเนื้อหาที่เหมาะสมกับลูกน้อยได้ พร้อมระบบปกป้องดวงตา 6 ชั้น ในรุ่น MatePad T 10s และ 4 ชั้นใน MatePad T 10 เสริมสร้างการใช้ชีวิตแบบอัจฉริยะทั้งครอบครัว
Huawei MatePad T 10s มีวางจำหน่าย 2 รุ่น คือ 4G ราคา 7,990 บาท และ Wi-Fi ราคา 5,990 บาท ส่วน Huawei MatePad T 10 4G วางจำหน่ายในราคา 4,990 บาท ทั้ง 2 รุ่นมาในสี Deepsea Blue สำหรับ Huawei MatePad T 10s สามารถจับจองได้ที่ Huawei Experience Store ทุกสาขาและร้านค้าตัวแทนจำหน่ายที่ร่วมรายการ
รวมถึงบนช่องทางออนไลน์ https://shop.Huawei.com/th และ Huawei MatePad T 10 4G วางจำหน่ายเฉพาะที่ Banana สาขาที่ร่วมรายการเท่านั้น ทั้งสองรุ่นนี้มาพร้อมบริการรับประกันหลังการขาย 1 ปี และการให้บริการซ่อมเครื่องด้วยการรับส่งถึงบ้าน
Leave a Reply