รีวิว Samsung Galaxy Note 10+ เรือธงรุ่นใหญ่สเปคหนัก!! กล้องเยอะ จอใหญ่ แบตอึด สแกนนิ้วใต้จอ Ultrasonic พร้อม S Pen สุดอัจฉริยะสั่งงานกลางอากาศ
สวัสดีเพื่อนๆ ผู้ติดตาม ninethaiphone ที่รักทุกท่านค่ะ 🙂 ก็เปิดตัวพร้อมกับวางจำหน่ายไปแล้วสักพักในประเทศไทย สำหรับ Samsung Galaxy Note 10 และ Galaxy Note 10+ โดยถือเป็นครั้งแรกของตระกูล Galaxy Note เลยก็ว่าได้ที่มาพร้อมตัวเลือก 2 ขนาด ตอบโจทย์ความต้องการที่ต่างกันของผู้บริโภคได้อย่างสมบูรณ์แบบ เรียกได้ว่าเป็นสมาร์ทโฟนทรงพลังที่ทลายทุกขีดจำกัดเดิมๆ เพื่อตอบโจทย์ New Work Tribe กลุ่มคนทำงานรุ่นใหม่กันเลยก็ว่าได้
ครั้งนี้จัดหนักจัดเต็มมาพร้อม S Pen ปากกาอัจฉริยะเจเนเรชั่นล่าสุด ให้เปลี่ยนลายมือภาษาไทยให้กลายเป็นตัวอักษรได้ทันทีบน Samsung Notes รวมถึงการเพิ่มฟีเจอร์ Air Actions สามารถควบคุมการใช้งานผ่านทิศทางการเคลื่อนไหวของปากกา พร้อมกล้องอัจฉริยะให้ภาพถ่ายและวิดีโอสวยงาม สมบูรณ์แบบราวกับมืออาชีพ โดยรุ่น Galaxy Note 10+ มีเลนส์ DepthVision สำหรับถ่ายชัดลึกชัดตื้นและหน้าชัดหลังเบลอได้ดียิ่งขึ้น
และมอบประสิทธิภาพเหนือชั้นกว่าที่เคยกับ Super Fast Charging ใช้งานได้ยาวนานตลอดวัน พร้อมเชื่อมต่อการทำงานร่วมกับระบบปฏิบัติการ Windows และ MacOS ได้อย่างง่ายดายผ่าน Samsung DeX ใช้หน้าจอ Dynamic AMOLED รองรับ HDR10+ และการปรับโทนภาพแบบอัตโนมัติ (Dynamic Tone Mapping) สามารถตัดต่อวิดีโอได้ง่ายและรวดเร็วด้วย Video Editor รองรับ AR Doodle, 3D Scanner รวมถึงสเปคการใช้งานอื่นๆ ที่ครบครัน
สำหรับวันนี้ทาง ninethaiphone มีบทความรีวิวของ Samsung Galaxy Note 10+ รุ่นพี่ใหญ่มารีวิวให้เพื่อนๆ ได้รับชมกัน โดยเป็นตัวเครื่องสี Aura Glow เฉดใหม่ที่ทางค่ายภูมิใจนำเสนอและมาแรงสุดๆ ในกลุ่มผู้ใช้งาน Galaxy Note 10+ มีให้เลือก 2 ความจุ ได้แก่ รุ่น 256GB ราคา 37,900 บาท และ รุ่น 521GB ราคา 40,900 บาท มีให้เลือก 3 สี คือ Aura Glow, Aura Black และ Aura White ส่วนรายละเอียดทั้งหมดจะเป็นอย่างไรนั้น เราไปชมรีวิวกันเลยค่ะ
ข้อมูลสเปค Samsung Galaxy Note 10+
Features | Samsung Galaxy Note 10+ |
วันเปิดตัว : | – สิงหาคม 2562 |
ราคา : | – 37,900.- (256GB) |
– 40,900.- (521GB) | |
– (ณ วันที่ 1 พ.ย. 62) | |
ระบบปฏิบัติการ : | – Android 9.0 (Pie) ครอบทับ One UI |
หน้าจอ : | – หน้าจอ Dynamic AMOLED |
– ขนาด 6.8 นิ้ว | |
– ดีไซน์ Infinity-O | |
– รองรับ HDR10+ | |
– ความละเอียด 3040×1440 พิกเซล (Quad HD+) | |
– กระจกกันรอย Corning Gorilla Glass 6 | |
– Always-on display | |
CPU : | – Exynos 9825 แบบ Octa-Core ความเร็ว 2.7GHz |
GPU : | – Mali-G76 MP12 |
RAM : | – 12GB |
ความจำตัวเครื่อง : | – 256GB |
– 512GB | |
– microSD Card สูงสุด 1TB | |
กล้องหลัง : | – 12MP + 12MP + 16MP + DepthVision |
– Wide + Telephoto + Ultrawide + TOF 3D | |
– ค่ารูรับแสง f/1.5-f/2.4 + f/2.1 + f/2.2 | |
– LED flash | |
– Dual Pixel PDAF | |
– AI Face Beauty | |
– กันสั่น OIS | |
– Auto Focus | |
– 2x optical zoom | |
– Auto-HDR | |
– Panorama | |
กล้องหน้า : | – 10MP |
– ค่ารูรับแสง f/2.2 | |
– Auto-HDR | |
– Dual Pixel PDAF | |
Video : | – 2160p@60fps |
Battery : | – 4300 mAh สนับสนุน Fast Charging 45W, Wireless Charging และ Wireless PowerShare |
ขนาด : | – 162.3×77.28×7.9 มม. |
น้ำหนัก : | – 196 กรัม |
รองรับซิม : | – Hybrid Dual SIM |
ระบบกันน้ำ : | – IP68 |
ระบบเครือข่าย : | – 2G : GSM 850/900/1800/1900 MHz |
– 3G : 850/900/1900/2100 MHz | |
– Dual 4G VoLTE | |
ระบบเชื่อมต่อ : | – ปากกา S Pen |
– Wi-Fi 802.11ax (2.4/5GHz) | |
– Bluetooth 5.0 | |
– NFC | |
– USB Type-C | |
– ลำโพง AKG | |
– ระบบเสียง Surround และ Dolby Atmos | |
– Bixby | |
– Samsung DeX | |
GPS : | – GPS |
– GLONASS | |
– GALILEO | |
– BDS | |
Sensor : | – Fingerprint Under Display |
– Accelerometer | |
– Gyro | |
– Proximity | |
– Compass | |
– Barometer | |
สี : | – Aura Glow |
– Aura Black | |
– Aura White |
แกะกล่อง Samsung Galaxy Note 10+
Samsung Galaxy Note 10+ บรรจุมากล่องบรรจุภัณฑ์สีดำ หน้ากล่องมีรูปปากกา S Pen สีน้ำเงิน
ด้านหลังกล่องมีรายละเอียดข้อมูลสเปคเด่นๆ ระบุเอาไว้ อาทิ ขนาดหน้าจอ, ความละเอียดหน้าจอ, ชนิดหน้าจอ, ความละเอียดกล้องถ่ายภาพ และความจุภายในตัวเครื่อง เป็นต้น
อุปกรณ์ต่างๆ ประกอบไปด้วย
- Samsung Galaxy Note 10+ ตัวเครื่องสี Aura Glow
- Adapter ชาร์จแบตเตอรี่ รองรับ Fast Charging กำลังไฟ 25W
- สาย USB Type-C to Type-C
- หูฟัง AKG แบบ In-Ear ชนิด Type-C
- จุกหูฟังซิลิโคนสำหรับเปลี่ยน 2 คู่
- อุปกรณ์เปลี่ยนหัวปากกา S Pen และคีมหนีบ
- เข็มจิ้มถาดซิมการ์ด (Ejection Pin)
- คู่มือการใช้งานเบื้องต้น
- ใบรับประกันสินค้า
- เคสซิลิโคนกันรอย
- ฟิล์มกันรอย (ติดมาแล้วกับตัวเครื่อง)
เคสกันรอยที่แถมมาให้เป็นซิลิโคนแบบใส
อุปกรณ์เปลี่ยนหัวปากกา S Pen ประกอบด้วย คีมหนีบ และไส้ปากกามีให้ 2 สี คือ สีดำ และสีขาว พร้อมมีจุกหูฟังซิลิโคนสำหรับเปลี่ยนมาให้ 2 คู่
หูฟังที่แถมมาให้ภายในกล่องเป็นหูฟังแบบ In-Ear จาก AKG พอร์ตเชื่อมต่อเป็น Type-C สายเป็นเชือกค่ะ
Galaxy Note 10+ รองรับ Fast Charging 45W ก็จริง แต่ Adapter ที่แถมมาให้รองรับกำลังไฟ 25W ส่วน Adapter กำลังไฟ 45W ต้องซื้อแยกเอา
ทำความรู้จัก Samsung Galaxy Note 10+
ด้านหน้า Samsung Galaxy Note 10+ มาพร้อมหน้าจอ Dynamic AMOLED ขนาด 6.8 นิ้ว ดีไซน์ Infinity-O พื้นที่หน้าจอใหญ่เต็มตายิ่งขึ้น ถูกออกแบบให้แสดงผลได้สวยทุกเฉดสี และดูได้อย่างสบายตา เปิดประสบการณ์ระดับโรงภาพยนตร์บนเครื่องสมาร์ทโฟน สัดส่วนหน้าจอต่อตัวเครื่องสูงถึง 91%
รองรับระบบ HDR10+ พร้อม Dynamic Tone Mapping ให้การแสดงผลการเล่นวีดีโอได้คมชัดและแสดงเฉดสีที่แท้จริง หน้าจอมีความคมชัดระดับ Quad HD+ หรือ 3040×1440 พิกเซล อัตราส่วนจออยู่ที่ 19:9 และปกป้องด้วยกระจกกันรอย Corning Gorilla Glass 6 หน้าจอแสดงผลได้อย่างสบายตา ช่วยลดอาการปวดตาโดยไม่ทำให้สีซีดจาง รวมถึงช่วยลดแสงสีฟ้าที่เป็นอันตรายระดับพิกเซล โดยไม่ทำให้การแสดงผลของสีบนหน้าจอลดลงอีกด้วย
จอไร้ขอบแบบ edge-to-edge
ด้านหน้าส่วนบน กล้องหน้ามีขนาดเล็กลง และอยู่ในตำแหน่งที่ไม่รบกวนสายตา มีการลดขนาดขอบลงเพื่อให้สัมผัสประสบการณ์หน้าจอเต็มตายิ่งขึ้น
โดย Galaxy Note 10+ มาพร้อมกล้องหน้าเซลฟี่ความละเอียด 10MP ค่ารูรับแสง f/2.2 รองรับ Auto-HDR และ Dual Pixel PDAF
ด้านหน้าส่วนล่าง จอแสดงความกว้างเต็มพื้นที่ กินขอบด้านข้างไปพอสมควร ปุ่มนำทางเป็นแบบ On-Screen ได้แก่ ปุ่ม Recent Apps, ปุ่มโฮม และปุ่มย้อนกลับ ในส่วนนี้หากลงทะเบียนลายนิ้วมือแล้วจะปรากฏไอคอนสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอแบบ Ultrasonic ที่ถูกซ่อนอยู่ภายใต้หน้าจอ ปลดล็อกด้วยการส่งคลื่นเสียงในการตรวจจับลายนิ้วมือแบบ 3 มิติ
ด้านหลัง ตัวเครื่องเงางามไร้รอยต่อของโลหะกับแก้วแวววาวแบบกระจก ดีไซน์อันหรูหราทันสมัย มีความโฉบเฉี่ยว มีให้เลือก 3 สี ได้แก่ Aura Black, Aura White และเฉดสีใหม่เปล่งประกายสะดุดตา Aura Glow สีที่ได้แรงบันดาลใจมาจากแสง และมีความโดดเด่นมากกว่าสีอื่นๆ ตัวเครื่องผลิตจากวัสดุที่ทนทานระดับ Gorilla Glass 6 ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ดีไซน์แบบใหม่ถือจับถนัดมือ ใช้งานง่าย และพกพาสะดวก หนา 7.9 มม. และมีน้ำหนัก 196 กรัม *สีตัวเครื่องจริงจะคล้ายๆ กับด้านหลังของแผ่นซีดีค่ะ ตัวเครื่องสีเงินมุก มีความวิบวับ รุ้งๆ ให้เฉดสีที่ต่างกันออกไปในแต่ละมุมมอง
ด้านหลังส่วนบน ติดตั้งกล้อง 4 เลนส์จัดวางในแนวตั้งล้อมรอบด้วยกรอบสีเงินนูนขึ้นมาจากตัวเครื่องเพียงเล็กน้อย ด้านข้างเป็นไฟแฟลช LED และเลนส์ DepthVision ถัดลงมาด้านล่างเล็กน้อยมีโลโก้แบรนด์ Samsung
ลำดับเลนส์กล้องด้านหลังของ Samsung Galaxy Note 10+ เริ่มจากเลนส์บนสุด มีดังนี้ค่ะ
• กล้องตัวที่ 1 : เลนส์ Ultra Wide ความละเอียด 16MP ค่ารูรับแสง f/2.1 มุมมองกว้าง 123 องศา
• กล้องตัวที่ 2 : เซ็นเซอร์หลักเลนส์ Wide Angle ความละเอียด 12MP ค่ารูรับแสง f/1.5-f/2.4
• กล้องตัวที่ 3 : เลนส์ Telephoto ความละเอียด 12MP ค่ารูรับแสง f/2.1
• กล้องตัวที่ 4 : เลนส์ DepthVision ความละเอียด VGA อยู่ทางฝั่งขวาใต้ LED flash เลนส์สำหรับจับระยะชัดลึกชัดตื้นให้แม่นยำขึ้น รวมถึงทำฉากหน้าชัดหลังเบลอได้เนียนยิ่งขึ้น
ด้านบนตัวเครื่อง ประกอบด้วย ช่องใส่ซิมการ์ดแบบ Hybrid Slot ช่องลำโพงเสียง และรูไมโครโฟน
สำหรับ Galaxy Note 10+ รองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ด แบบ Nano SIM โดยจะใส่ซิมการ์ดทั้ง 2 ช่อง หรือจะเปลี่ยนช่องหนึ่งไว้ใส่ microSD Card ก็ได้ โดยรองรับสูงสุดถึง 1TB ซึ่งจะต้องเลือกเอาค่ะ (รุ่น Galaxy Note 10 ไม่รองรับ microSD Card)
ด้านล่างตัวเครื่อง ประกอบด้วย รูไมโครโฟน, พอร์ตเชื่อมต่อ USB Type-C, ลำโพงเสียง และช่องเก็บปากกา S Pen
มุมมองเมื่อถอดปากกาออกจากเครื่องค่ะ
ปากกา S Pen ถูกออกแบบมาให้ดูสวยหรูด้วยการดีไซน์แบบ Unibody ใช้งานได้อย่างลื่นไหล ไม่ว่าจะ เขียน วาด และการสั่งงานควบคุมต่างๆ ได้นานขึ้น โดยสามารถ Stand By ได้นาน 10 ชั่วโมง
ด้านซ้ายตัวเครื่อง พบปุ่มปรับระดับเสียง และปุ่มพาวเวอร์สำหรับปิดหรือรีสตาร์ทตัวเครื่องค่ะ หรือหากกดค้างไว้จะเป็นการเรียกใช้งาน Bixby
ด้านขวาตัวเครื่อง ไร้ปุ่มการใช้งานใดๆ
การแคปภาพหน้าจอ กดไปที่ปุ่มลดเสียง + ปุ่มพาวเวอร์
ทดสอบประสิทธิภาพ
เมื่อนำ Samsung Galaxy Note 10+ ที่มาพร้อมชิปประมวลผล Exynos 9825 แบบ Octa-Core ความเร็ว 2.7GHz หน่วยประมวลภาพกราฟิก Mali-G76 MP12 และทำงานบนระบบปฏิบัติการ Android 9.0 (Pie) ครอบทับ One UI เข้าทดสอบประสิทธิภาพการใช้งานผ่านแอปพลิเคชั่น AnTuTu เวอร์ชั่นล่าสุด พบว่าสามารถทำคะแนนรวมทะลุ 3 แสนทีเดียว แต่ทำคะแนนได้น้อยกว่า Samsung Galaxy S10+ ที่มาพร้อมชิปประมวลผล Exynos 9820 แบบ Octa Core ความเร็ว 2.7GHz อยู่เพียงเล็กน้อย (คลิกชมรีวิว)
สำหรับข้อมูลสเปคการใช้งานของ Samsung Galaxy Note 10+ ตามฐานข้อมูลของแอปฯ AnTuTu เวอร์ชั่นล่าสุด ระบุว่ามาพร้อมรหัสโมเดล SM-N975F, ทำงานบนระบบปฏิบัติการ Android 9, ใช้ชิปเซ็ต Exynos 9825, จีพียู Mali-G76, หน้าจอ 6.8 นิ้ว ความละเอียด 1080×2280 พิกเซล, กล้องหน้า 10MP, แบตเตอรี่ 4170 mAh, หน่วยความจำแรมที่ใช้งานได้ทั้งหมด 6241MB, ความจุที่ใช้งานได้ทั้งหมด 202.91GB และรองรับ NFC เป็นต้น
ด้านประสิทธิภาพในการเล่นเกม Galaxy Note 10+ ตอบโจทย์ในส่วนนี้ด้วยเช่นกัน สำหรับในครั้งนี้เราได้ดาวน์โหลดเกมยอดนิยมอย่าง PUBG MOBILE และ Asphalt 9 มาทดสอบความลื่นไหลดูค่ะ สำหรับเกม Asphalt 9 ภาพกราฟิกสวย คมชัด สีสด ระบบทัชสกรีนตอบสนองได้ดี
ส่วนของเกม PUBG MOBILE แรกเริ่มเมื่อเข้าสู่เกม ระบบได้ปรับอัตโนมัติที่ความละเอียดสูงตามสเปคของอุปกรณ์เพื่อให้สามารถเล่นเกมได้แบบไม่สะดุด
ภาพกราฟิกอยู่ในระดับ HDR HD มีผลทันทีช่วยลดอาการค้าง ความร้อน และการใช้งานของแบตเตอรี่ แต่อุปกรณ์ยังไม่รองรับการตั้งค่า Ultra HD นะคะ) ส่วนเฟรมเรทสามารถปรับให้อยู่ในระดับสูงสุดเลยค่ะ
ส่วนประสิทธิภาพการเล่นเกมต้องบอกเลยว่าตอบโจทย์คอเกมสุดๆ ระบบทัชสกรีนลื่น ไม่มีอาการกระตุก ระบบประมวลผลไว ลำโพงเสียงดังฟังชัด จอกว้างเล่นได้แบบเต็มตา
Interface
หน้าจอ Lock screen ปลดล็อกตัวเครื่องด้วยการสไลด์หน้าจอขึ้นด้านบน และเข้าถึงกล้องถ่ายภาพได้อย่างรวดเร็วด้วยการเลื่อนมุมขวาขึ้น และเข้าถึงการโทรสนทนาได้ทันทีที่มุมซ้ายล่าง แต่หากลงทะเบียนสแกนลายนิ้วมือแล้วก็สามารถสแกนผ่านไอคอนบนหน้าจอได้เลย หรือลงสแกนใบหน้าแล้วก็ปลุกหน้าจอขึ้นมาก่อนแล้วสแกนได้เลยค่ะ
หลังปลดล็อคหน้าจอจะพาเข้าสู่หน้า Home screen เมื่อปัดหน้าจอขึ้นหรือลงจะพาเข้าสู่หน้ารวมแอปฯ ทั้งหมดในตัวเครื่อง
เลื่อนหน้าจอด้านบนลงจะพบกับหน้า Quick settings มีให้เลือกใช้งานมากมาย อาทิ เปิดใช้งานไฟฉาย, เปิดใช้งาน 4G, สแกน QR Code , เปิดฟีเจอร์ Always On Display, บันทึกวิดีโอหน้าจอ, เปิดโหมดใช้งานกลางคืน เป็นต้น ซึ่งสามารถเพิ่มโหมดการใช้งานเพิ่มได้ค่ะ ด้านบนมีช่องค้นหา ปิดเครื่อง และตั้งค่าอื่นๆ
ส่วนแถบด้านล่างจะเป็นการแจ้งเตือน และเมื่อกดค้างไปยังพื้นที่ว่างบนหน้า Home Screen ในหน้าจอหลักจะปรากฏเมนูขึ้นมาให้ตั้งค่าวอลเปเปอร์ ธีม วิตเจ็ต หรือการตั้งค่าอื่นๆ หากกดค้างไปที่ตัวแอปฯ จะมีเมนูการใช้งานอื่นๆ เพิ่มเติมมา มีทั้งการลบออกจากหน้าหลัก การเลือกรายการ ถอนการติดตั้ง และข้อมูลแอปฯ
การโทรสนทนา และการส่งข้อความ
แอปฯ จาก Google มีมาให้อย่างครบครัน สามารถดาวน์โหลดแอปฯ ที่ต้องการเพิ่มเติมได้ที่ Google Play และ Galaxy Store
หากสไลด์หน้าจอฝั่งซ้ายไปทางขวา หรือ Home Screen หน้าแรก จะพบกับหน้า Bixby นอกจากนี้ยังสามารถกดปุ่มด้านข้างตัวเครื่องเพื่อเรียกใช้งาน Bixby ได้อีกด้วย
โดยสามารถสั่งงานด้วยเสียง ข้อความ หรือการสัมผัส ซึ่งเจ้า Bixby สามารถเรียนรู้รูปแบบการทำงานของผู้ใช้ได้ตลอดเวลาเลยค่ะ
เมื่อถอดปากกา S Pen ออกจากตัวเครื่อง จะปรากฏทางลัดการใช้งานของ S Pen ขึ้นมา มีทั้ง การสร้างบันทึกใหม่, ดูบันทึกทั้งหมด, การเลือกอัจฉริยะ หรือการเลือกเฉพาะบางส่วนที่เราต้องการ
การเขียนบนหน้าจอ การสร้าง Live Message และสามารถเพิ่มเอกลักษณ์ของสิ่งที่ต้องการได้โดยการใช้ S Pen ในการสร้างสรรค์รูปภาพ วาดเอฟเฟ็กต์ต่างๆ หรือภาพเคลื่อนไหวลงบนภาพถ่ายได้ด้วย AR Doodle
สำหรับ Samsung Notes สามารถบันทึกได้ทั้งการพิมพ์ข้อความตามปกติ การเขียนร่วมด้วยในหน้านั้นๆ และการวาดค่ะ
นอกจากนี้สามารถเปลี่ยนลายมือเป็นข้อความได้แบบทันที โดยครั้งนี้ความสามารถของ S Pen ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อให้ผู้ใช้สามารถจดข้อความลงบนหน้าจอ และเปลี่ยนลายมือเป็นตัวอักษรได้อย่างทันทีบน Samsung Notes พร้อมทั้งยังสามารถแปลงไฟล์ได้หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น Microsoft Word หรือ PDF สามารถปรับขนาดและเปลี่ยนสีของตัวอักษรได้ตามต้องการอีกด้วย
มีโหมดการเลือกลายเส้นเฉพาะจุด รูปแบบของปากกา และตั้งค่าสีของพื้นหลัง
สามารถเพิ่มเมนูได้เอง ตามสไตล์การใช้งาน
รองรับ Microsoft Apps และ Galaxy Themes เปลี่ยนธีมที่ต้องการได้เลยตามสะดวก
Game Launcher เป็นแอปฯ สำหรับจัดเก็บเกมทั้งหมดไว้ในที่เดียวกัน รวมทั้งสามารถใช้คุณสมบัติเพิ่มเติมสำหรับการเล่นเกม เช่น ประหยัดพลังงานขณะเล่นเกม ปิดการแจ้งเตือนขณะเล่นเกม เป็นต้น
แอปฯ และเครื่องมือการใช้งานที่ติดมากับตัวเครื่องมีให้ใช้งานเยอะ เริ่มด้วย Samsung Smart Things ระบบควบคุมบ้านอัจฉริยะผ่านสมาร์ทโฟน, เครื่องบันทึกเสียง
เครื่องคิดเลข, ปฏิทิน, Samsung Pay
Samsung Health สำหรับคนรักสุขภาพและ
แอปฯ Galaxy Wearable สำหรับเชื่อมต่อกับอุปกรณ์เสริมของ Samsung เชื่อมต่อง่ายและไว
มาพร้อมเทคโนโลยี 3D Scanner สามารถสแกนวัตถุ และเปลี่ยนให้เป็นภาพเคลื่อนไหว 3 มิติได้, เชื่อมต่อการทำงานร่วมกับระบบปฏิบัติการ Windows และ MacOS ได้อย่างง่ายดายผ่าน Samsung DeX และหากกดไปที่ปุ่ม Recent Apps จะปรากฏแอปฯ ที่ใช้งานไปแล้วทั้งหมด สามารถปิดทั้งหมดได้ด้วยการกดไปที่ปุ่มปิดทั้งหมดค่ะ
เมนูการตั้งค่าต่างๆ ภายในตัวเครื่อง
ในส่วนของจอแสดงผลมีโหมดกลางคืนให้เปิดใช้งาน โดยหน้าจอจะเปลี่ยนเป็นสีดำ รองรับฟิลเตอร์แสงสีฟ้าที่จะปรับหน้าจอให้เป็นสีเหลืองนวลช่วยถนอมสายตา ปรับสมดุลสีของจอภาพ รวมถึงปรับตัวขนาดอักษร เป็นต้น
แผงหน้าจอ Edge สามารถจัดการได้เองทั้งหมด นอกจากนี้ยังรองรับฟีเจอร์ Always On Display แสดงผลบนหน้าจอขณะหน้าจอปิด
รองรับโหมดใช้งานง่าย และปรับโหมดนำทางได้ด้วยตนเอง
การใช้งาน Smart Lock ช่วยรักษาอุปกรณ์และบัญชีให้ปลอดภัยได้อย่างง่ายดาย สามารถตั้งล็อคอุปกรณ์ได้ทันทีเมื่ออุปกรณ์ไม่ได้อยู่กับตัว, การใช้ Chromebook ล็อคโดยอัตโนมัติเมื่อไม่ได้อยู่กับตัว และปลดล็อคทันทีเมื่ออุปกรณ์อยู่ใกล้ๆ และไม่ได้ล็อคอยู่ หรือใช้รหัสผ่านลดความยุ่งยากในการรักษาบัญชีให้ปลอดภัย สามารถบันทึกรหัสผ่านไปยังบัญชี Google ใช้งานได้อย่างสะดวก และปลอดภัย
ด้านระบบรักษาความปลอดภัย Galaxy Note 10+ รองรับ Fingerprint ฝังใต้จอแสดงผล สามารถบันทึกลายนิ้วมือได้ทั้งหมด 4 นิ้ว
และรองรับฟีเจอร์ Face Unlock สแกนใบหน้าได้อย่างฉับไว
ในส่วนนี้เป็นคุณสมบัติขั้นสูงที่มีให้ตั้งค่าต่างๆ อาทิ ปากกา S Pen, การบันทึกหน้าจอ, Game Launcher, Dual Messenger เป็นต้น
Galaxy S10+ มาพร้อมปากกา S Pen อัจฉริยะเจเนเรชั่นล่าสุด รองรับการทำงานควบคุมโดยไม่ต้องแตก, ใช้ปลดล็อกด้วยรีโมท S Pen, การเตือนระยะห่างของปากกา เป็นต้น
สำหรับการควบคุมโดยไม่แตะ เป็นการสั่งการกลางอากาศได้ ใช้เปิดกล้องถ่ายรูปด้วยการกดค้างที่ปุ่มปากกา สามารถเปิดแอปฯ, ถ่ายภาพ, ควบคุมเพลง และอื่นๆ อีกมากมายโดยไม่ต้องใช้ S Pen แตะบนหน้าจอ โดยกดไปที่ปุ่มปากกาหรือทำท่าทาง สำหรับการทำท่าทางให้ถือปากกา S Pen โดยหันปลายปากกาออกจากตัว กดปุ่มค้างไว้แล้วทำท่าทางจากนั้นให้ปล่อยปุ่มค่ะ อาทิ ใช้ S Pen ตวัดขึ้น, ตวัดลง, ตวัดไปทางซ้าย, ตวัดไปทางขวา, ตวัดเป็นวงกลมตามเข็มนาฬิกา เป็นต้น สั่งงานกลางอากาศได้เลยนั่นเอง
หน้านี้เป็นการรวมข้อมูลคุณสมบัติการทำงานของปากกา S Pen ค่ะ ประกอบด้วย การใช้ S Pen แปลภาษา ทำได้ง่ายๆ ด้วยการยกหัวปากกาเหนือข้อความที่ต้องการจะแปล, ยก S Pen เหนือบางสิ่งเพื่อค้นหาผลิตภัณฑ์โดยใช้ Bixby
ยก S Pen เหนือบริเวณหน้าจกเพื่อขยาย และยก S Pen เหนือภาพขนาดย่อเพื่อสลับมุมมองแบบเต็มหน้าจอ
รองรับ Video Enhancer, Digital Wellbeing และรองรับ Dual Messenger หรือการโคลนแอปฯ
เพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานให้ดียิ่งขึ้น และตั้งค่าการใช้งาน ได้ที่หน้าการบำรุงรักษาอุปกรณ์
รองรับการช่วยเหลือการเข้าถึงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ตัวอ่านหน้าจอ, เสริมการมองเห็น, การได้ยิน เป็นต้น
หน้าอัปเดตเป็นระบบปฏิบัติการเวอร์ชันใหม่ๆ และหน้าแสดงเกี่ยวกับข้อมูลของสมาร์ทโฟน
ส่วนของเคล็ดลับจะเป็นการรวบรวมทริคต่างๆ ในการใช้งานไว้ในนี้
สำหรับการเปิดปิดเครื่องมีให้เลือกใช้งานทั้งการเข้าไปที่หน้า Quick settings หรือกดค้างไปที่ปุ่มพาว์เวอร์ค่ะ
สำหรับการตัดต่อวิดีโอทำได้ง่ายมากๆ ด้วย Video Editor ลำดับถัดไปเราจะสาธิตการตัดต่อเบื้องต้นให้ได้ชมกันนะคะ
ก่อนอื่นเข้าไปที่แกลเลอรี่ที่เก็บภาพถ่ายและวิดีโอของเราเลยค่ะ เมื่อเลือกรูปและวิดีโอเสร็จแล้ว ให้กดไปที่การสร้างภาพยนตร์มุมขวาบนใกล้ๆ ปุ่มค้นหาดังภาพ จากนั้นเลือกแก้ไขด้วยตนเอง เสร็จแล้วจะพาเข้าสู่หน้าตัดต่อวิดีโอค่ะ
Video Editor ใช้งานร่วมกับปากกา S Pen ได้เป็นอย่างดี ทำให้สามารถเลือกรายละเอียดต่างๆ ได้อย่างแม่นยำ หน้าแรกของ Video Editor มีเมนูการใช้งานหลักอยู่ 3 อย่าง คือ เป็นส่วนของวิดีโอและรูปภาพ เมื่อกดไปที่วิดีโอหรือรูปภาพจะปรากฏไอคอนสำหรับลบหรือแก้ไขขึ้นมา ตรงกลางถัดมาสามารถเพิ่ม Text ข้อความ หรือคำอธิบายต่างๆ รวมถึงจัด Font ได้เอง และขวาสุดเป็นรายละเอียดเกี่ยวกับเสียงเพลงที่จะใช้ประกอบคลิปค่ะ
เพลงพื้นหลังที่มีมาให้แบ่งเป็นหมวดหมู่ต่างๆ หากกดเครื่องหมาย + มุมขวาบนสามารถเลือกเพลงจากเครื่องของเราได้ เมื่อเลือกเพลงมาแล้ว เราสามารถปรับความดังของเสียงวิดีโอและเสียงเพลงพื้นหลังได้ด้วยนะคะ
มาดูกันที่การแก้ไขวิดีโอและรูปภาพกันบ้าง เมื่อกดคลิกเข้าไปจะเจอฟังก์ชั่นต่างๆ ให้เลือกใช้งานมากมาย เริ่มด้วย การตัดวิดีโอ ซึ่งเป็นการย่นหน้าหลัง การเลือกฟิลเตอร์สี มีโหมดบิวตี้ให้ปรับระดับได้ทั้งใบหน้าและสีผิว รวมถึงความกลมโตของดวงตาด้วย
จากนั้นเป็นการพิมพ์ Text เลือกปรับ Font สี และพื้นหลัง Text ได้ค่ะ มีสติ๊กเกอร์น่ารักๆ ให้ใช้งานมากมาย หากยังไม่จุใจสามารถดาวน์โหลดเพิ่มเติมได้ฟรี
รองรับการเขียนด้วยปากกา S Pen ถัดมาเป็นการตั้งความเร็วของคลิปในการเล่น มีให้ปรับเสียงวิดีโอ
รอยต่อของคลิปวิดีโอ สามารถเปลี่ยนรูปแบบเพิ่มลูกเล่นได้ค่ะ โดยจะเปลี่ยนเป็นฉากละลาย สไลด์ หรือภาพจางก่อนเริ่มคลิปและรูปถัดไปก็ได้ เมื่อแก้ไขเสร็จแล้วตามที่ต้องการ ก็กดบันทึกมุมขวาบนได้เลยเป็นอันเสร็จเรียบร้อยค่ะ
ตัวอย่าง
โหมดการใช้งานของกล้องถ่ายภาพ
Samsung Galaxy Note 10+ มาพร้อมกล้องหลัง 4 เลนส์ ประกอบด้วย 12MP (Wide Angle) + 12MP (Telephoto) + 16MP (Ultra Angle) + DepthVision (TOF 3D) พร้อม LED flash, Dual, กันสั่น OIS, Pixel PDAF, 2x optical zoom, มุมกว้าง 123 องศา ส่วนโหมดการใช้งานต่างๆ มีดังนี้ค่ะ
มาเริ่มกันที่โหมดการใช้งานของกล้องหลังกันเลย ได้แก่ โหมด Instagram รองรับการเปิดไฟแฟลช และการถ่ายภาพแบบปกติ, การซูม และแบบมุมมองกว้าง
โหมดถ่ายภาพอาหาร ช่วยถ่ายภาพอาหารออกมาให้มีสีสันสดใสน่ารับประทานยิ่งขึ้น
ตัวอย่างภาพถ่ายโหมดอาหาร
โหมดถ่ายภาพในช่วงเวลากลางคืน รองรับตั้งเวลาในการถ่าย ปรับอัตราส่วนภาพ และการบันทึกภาพแบบปกติ, การซูม และแบบมุมมองกว้าง
ตัวอย่างภาพถ่ายโหมดกลางคืน
โหมดพาโนรามาเก็บภาพในแนวกว้าง, โหมดโปรสามารถปรับตั้งค่าต่างๆ ได้เอง รวมถึงปรับค่ารูรับแสง f/1.5 และ f/2.4 และไฟล์โฟกัส เพิ่มลูกเล่นเอฟเฟ็คมาให้เลือก 5 แบบ คือ เบลอธรรมดา, วงกลมขนาดใหญ่, สปิน, ซูม และคัลเลอร์พอยท์
โหมดถ่ายภาพ Auto เหนือปุ่มชัตเตอร์ สามารถเลือกสลับกล้องไปมาได้อย่างอิสระ
โดยรูปต้นไม้ 1 ต้น (Telephoto) คือการซูม 2 เท่า แบบไม่เสียความละเอียด
รูปต้นไม้ 2 ต้น (Wide Angle) คือมุมมองภาพแบบปกติ
และรูปต้นไม้ 3 ต้น (Ultra Wide) คือมุมมองภาพแบบมุมกว้าง
โหมดถ่ายวิดีโอที่รองรับการบันทึกได้ที่ความละเอียดสูงสุดระดับ 4K มี Super Steady ช่วยป้องกันการสั่นไหวของวิดีโอ ถัดมาเป็นวิดีโอไลฟ์โฟกัสถ่ายวิดีโอหน้าชัดหลังละลายพร้อมโบเก้ได้เหมือนกับในภาพยนตร์ สามารถเพิ่มเอฟเฟกต์พิเศษแบบเรียลไทม์ได้เพื่อบันทึกช่วงเวลาพิเศษ รองรับฟิลเตอร์สี และปรับค่าความสวยเนียนของบุคคล, ไอคอนรูปต้นไม้ 3 แบบเหมือนโหมด Auto
สำหรับโหมด Super Slow Motion อยู่ที่ระดับ 960fps สามารถบันทึกได้นานกว่าเดิมเป็น 0.4 วินาที หรือหากปรับลดความละเอียดเหลือ 480p จะสามารถบันทึกได้ 0.8 วินาที
โหมด Hyperlapse ที่เลือกปรับความเร็วได้ตามต้องการ และ Slow Motion ระดับ 960fps
โหมดแก้ไขและตัวเลือกวิธีการถ่ายภาพนอกเหนือจากกดปุ่มหน้าจอ ยังมีการควบคุมด้วยเสียงเป็นตัวเลือกด้วย
มาต่อกันที่โหมดการใช้งานของกล้องหน้า โดยกล้องหน้าของ Galaxy Note 10+ มาพร้อมความละเอียด 10MP ค่ารูรับแสง f/2.2 พร้อมเทคโนโลยี Dual Pixel PDAF โฟกัสไวและแม่นยำ เราไปดูโหมดการใช้งานกล้องหน้าทั้งหมดกันเลยค่ะ ได้แก่ โหมด Instagram, โหมดถ่ายภาพกลางคืน, โหมดไลฟ์โฟกัส มีเอฟเฟ็คมาให้เลือก 5 แบบ คือ เบลอธรรมดา, วงกลมขนาดใหญ่, สปิน, ซูม และคัลเลอร์พอยท์ เช่นเดียวกับกล้องหลัง
โหมดถ่ายภาพปกติรองรับการถ่ายภาพมุมกว้าง สามารถเลือกได้ว่าจะถ่ายภาพเซลฟี่เดี่ยวหรือเซลฟี่หมู่ มีให้เลือกปรับฟิลเตอร์แสงตามใจชอบ รวมถึงรองรับโหมด Beauty เลือกปรับระดับสีผิว รูปหน้า และความเนียนของผิวได้เช่นเดียวกัน
รองรับ AR Emoji มาพร้อมความสามารถในการแทร็กที่ง่ายขึ้น รวดเร็ว และถูกต้อง สามารถเก็บท่าทางของผู้ใช้ได้ง่ายขึ้น สามารถสร้าง My Emoji ได้แบบง่ายๆ ด้วยการบันทึกภาพใบหน้าของตนเองลงบนกรอบวงกลม และเพื่อให้ได้ภาพ My Emoji ส่วนตัวของเราดีที่สุด จะต้องถอดแว่นหรือปัดผมออก จากนั้นยิ้มแบบไม่เห็นฟันแล้วกดถ่ายภาพได้เลยค่ะ หลังกดถ่ายภาพจะมีให้เรายืนยันว่าต้องการให้ My Emoji เป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย จากนั้นระบบจะทำการสร้างตัว My Emoji แบบ 3D ให้เรา
โหมดบันทึกวิดีโอของกล้องหน้า รองรับการถ่ายวิดีโอ 4K เอาใจผู้ใช้งานด้วยการใช้งานฟิลเตอร์สี สามารถปรับค่าความสวยเนียนระหว่างบันทึกวิดีโอได้ และทำงานร่วมกับ AR Doodle
รองรับโหมดบันทึกวิดีโอไลฟ์โฟกัส ลูกเล่นเอฟเฟ็คมาให้เลือก 4 แบบ คือ เบลอธรรมดา, วงกลมขนาดใหญ่, คัลเลอร์พอยท์ และกลิตซ์
ตัวอย่างภาพถ่ายกล้องหลังจาก Samsung Galaxy Note 10+
ตัวอย่างภาพถ่ายกล้องหน้าจาก Samsung Galaxy Note 10+
สำหรับกล้องหน้าของ Samsung Galaxy Note 10+ มาพร้อมความละเอียด 10MP ค่ารูรับแสงกว้าง f/2.2 พร้อมเทคโนโลยี Dual Pixel PDAF และ Auto-HDR เลนส์กล้องถูกดีไซน์ให้อยู่ตรงกลางหน้าจอ เพื่อให้ถ่ายเซลฟี่ได้อย่างเป็นธรรมชาติ และได้รับการอัพเกรดเพื่อให้ถ่ายในที่แสงน้อยได้ดียิ่งขึ้น ถึงแม้จะมาพร้อมความละเอียดที่หลายๆ คนอาจจะคิดว่าน้อย แต่ต้องบอกเลยว่าผลลัพธ์ที่ได้เกินคาด สามารถถ่ายภาพออกมาได้อย่างสวยคมชัด โหมดปรับค่าผิวสวยงามทำออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติ มีโหมดเด่นๆ ให้เลือกเล่นเยอะ และใช้งานร่วมกับ AR Doodle ได้ เราไปชมตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหน้าของ Galaxy Note 10+ กันเลยค่ะ
สรุป
- ใช้หน้าจอ Dynamic AMOLED ขนาดใหญ่ 6.8 นิ้ว คมชัดระดับ Quad HD+ ดีไซน์ Cinematic Infinity-O Display จอไร้ขอบแบบ edge-to-edge รองรับ HDR10+ และครอบทับด้วยกระจกกันรอย Corning Gorilla Glass 6 ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง
- รันบนระบบปฏิบัติการ Android 9.0 (Pie) ครอบทับ One UI
- ขับเคลื่อนด้วยขุมพลัง Exynos 9825 แบบ Octa-Core ความเร็ว 2.7GHz หน่วยประมวลภาพกราฟิก Mali-G76 MP12 ประมวลผลเร็วแรง ไม่มีอาการกระตุก
- หน่วยความจำตอบโจทย์มาพร้อม RAM 12GB มีให้เลือก 2 ความจุ ได้แก่ 256GB และ 512GB แบบ UFS 3.0 พร้อมรองรับ microSD Card สูงสุด 1TB
- กล้องหลัง 4 เลนส์ ประกอบด้วย 12MP (Wide Angle) + 12MP (Telephoto) + 16MP (Ultra Wide) + DepthVision (TOF 3D) ค่ารูรับแสง f/1.5-f/2.4 + f/2.1 + f/2.2 พร้อม LED flash รองรับการซูมแบบออปติคอล 2x มีฟีเจอร์ Scene Optimizer ช่วยให้ถ่ายภาพได้อย่างมืออาชีพ ถ่ายภาพในช่วงเวลากลางคืนสวยงามด้วย Night Mode มีระบบกันสั่น OIS (Galaxy Note 10 ไม่มีเลนส์ DepthVision)
- บันทึกวิดีโอคมชัดสูงระดับ 4K มี Super Steady ช่วยป้องกันการสั่นไหวของวิดีโอ
- มาพร้อมนวัตกรรม Zoom-In Mic ช่วยเน้นเสียงในเฟรมที่ต้องการให้ชัดขึ้น และในขณะเดียวกันช่วยลดเสียงของพื้นหลังออกไป และฟีเจอร์ Super Steady รูปแบบใหม่ที่ช่วยป้องกันการสั่นไหวของวิดีโอ ซึ่งสามารถใช้ฟีเจอร์ดังกล่าวในโหมด Hyperlapse ได้อีกด้วย
- ตัดต่อวิดีโอได้ง่ายและรวดเร็วตัดต่อวิดีโอได้ง่ายและรวดเร็ววย Video Editor สามารถใช้งานร่วมกับปากกา S Pen เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการปรับแต่งและเลือกเฟรมที่ต้องการแทนการใช้มือสัมผัส หรือจะตัดต่อผ่าน Adobe Rush ที่มาพร้อมชุดเครื่องมือตัดต่อวิดีโอระดับมือโปรก็ได้ค่ะ
- กล้องหน้าความละเอียด 10MP ค่ารูรับแสง f/2.2 พร้อม Auto-HDR และ Dual Pixel PDAF เซลฟี่ออกมาได้สวยคมชัดเป็นธรรมชาติ
- แบตเตอรี่ความจุสูง 4300 mAh สนับสนุน Fast Charging กำลังไฟสูงสุด 45W รองรับ Wireless Charging และ Wireless PowerShare แต่ต้องซื้อแยก
- ตัวเครื่องกันน้ำกันฝุ่นตามมาตรฐาน IP68
- ปากกา S Pen อัจฉริยะมากยิ่งขึ้น เจเนเรชั่นใหม่ล่าสุด มาพร้อมเทคโนโลยี Bluetooth Low Energy สามารถเปลี่ยนลายมือภาษาไทยให้กลายเป็นตัวอักษรได้ทันทีบน Samsung Notes มีการเพิ่มฟีเจอร์ Air Actions สามารถควบคุมการใช้งานผ่านทิศทางการเคลื่อนไหวของปากกาได้กลางอากาศ สามารถปรับแต่งปุ่มควบคุมได้หลายรูปแบบ เพื่อช่วยให้การเล่นเกมหรือใช้งานแอปพลิเคชั่นโปรดผ่านการแสดงออกของท่าทางได้ง่ายดายยิ่งขึ้น
- ลำโพง AKG ระบบเสียง Surround และ Dolby Atmos
- สามารถเพิ่มเอกลักษณ์ของตัวเองโดยการใช้ S Pen ในการสร้างสรรค์รูปภาพ วาดเอฟเฟกต์ต่างๆ หรือภาพเคลื่อนไหวลงบนภาพถ่ายได้ด้วย AR Doodle
- สามารถสแกนวัตถุ และเปลี่ยนให้เป็นภาพเคลื่อนไหว 3 มิติได้ด้วยกล้อง DepthVision
- รองรับผู้ช่วยอัจฉริยะ Bixby
- มาพร้อมฟีเจอร์ Screen Recorder ช่วยบันทึกภาพที่อยู่บนหน้าจออย่างง่ายดาย ใช้โหมด Picture-in-Picture เพื่อเพิ่มรีแอคชั่น และใช้ S Pen เพิ่มลูกเล่นบนวิดีโอได้ เหมาะสำหรับเหล่าเกมเมอร์ที่ต้องการเพิ่มเอกลักษณ์ของตัวเองขณะสตรีมมิ่ง หรือบล็อกเกอร์ที่อยากสร้างคอนเทนต์ให้น่าสนใจยิ่งขึ้น
- มาพร้อม Vapor Chamber Cooling System เทคโนโลยีระบายความร้อนที่บางที่สุดในโลก และเพิ่มประสิทธิภาพในการการเล่นเกมที่ดีที่สุดด้วยนวัตกรรม AI ใน Game Booster ทำให้สามารถเพิ่มและลดการใช้พลังงานในแต่ละเกมได้
- เชื่อมต่อการทำงานร่วมกับระบบปฏิบัติการ Windows และ MacOS ได้อย่างง่ายดายผ่าน Samsung DeX
- ฝังสแกนลายนิ้วมือแบบ Ultrasonic ใต้จอแสดงผล และรองรับฟีเจอร์ Face Unlock
- ลำโพง AKG ระบบเสียง Surround และ Dolby Atmos
- ตัวเครื่องมีให้เลือก 3 สี ได้แก่ Aura Black, Aura White และสีใหม่ที่ทางค่ายภูมิใจนำเสนอ Aura Glow
ข้อสังเกต
- ไม่มีช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร
- พอร์ตของหูฟังเป็นแบบ Type-C
- รองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ด แบบ Hybrid Slot คือต้องเลือกใช้งานระหว่าง 2 ซิมการ์ด หรือใช้งาน 1 ซิมการ์ด + microSD Card จะใช้งานพร้อมกันไม่ได้ค่ะ
- ตัวเครื่องใช้วัสดุมันวาวทำให้เกิดคราบรอยนิ้วมือได้ง่าย ควรสวมใส่เคสขณะใช้งาน
- รู้สึกว่าตำแหน่งของช่องเสียบหูฟังยังไม่โอเค เสียบหูฟังขณะเล่นเกม ทำให้เล่นไม่ค่อยสะดวก เกะกะมาก
- รองรับ Fast Charging 45W ก็จริง แต่ Adapter ที่แถมมาให้รองรับกำลังไฟ 25W ส่วน Adapter กำลังไฟ 45W ต้องซื้อแยกเอาค่ะ
- ตัดปุ่ม Bixby ออกไปเป็นที่เรียบร้อย
- ตัวเครื่องมีน้ำหนัก
- ราคาค่อนข้างสูง
ตัวเลือกอื่นในระดับราคาใกล้เคียงกัน
– Samsung Galaxy Note 10
– Samsung Galaxy S10+
– Huawei P30 Pro
– Huawei Mate 30 Pro
– iPhone 11 Pro Max
– iPhone 11 Pro
Credit : www.ninethaiphone.com
Leave a Reply