รีวิว Huawei Mate 10 Pro เรือธงผสานเทคโนโลยี AI สุดฉลาด! กล้องคู่ Leica ขุมพลัง Kirin 970 แบตสุดอึด 4000 mAh
ขอขอบคุณรูปภาพจาก expertreviews
สวัสดีเพื่อนๆ ผู้ติดตาม ninethaiphone ที่รักทุกท่านค่ะ สำหรับใครที่กำลังมองหาสมาร์ทโฟนเรือธงสเปคท็อปๆ ราคาไม่เกิน 30,000 บาท ที่มาพร้อมสุดยอดเทคโนโลยีทันสมัย และคุ้มค่าคุ้มราคา วันนี้เราจะขอพาเพื่อนๆ ไปชมรีวิวและทำความรู้จักกับ Huawei Mate 10 Pro สมาร์ทโฟนรุ่นแรกของโลกที่มาพร้อมชิปเซ็ตเทคโนโลยี AI เสริมประสิทธิภาพในการทำงานอย่างแท้จริง และได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้ใช้งานในขณะนี้
สำหรับ Huawei Mate 10 Pro มีราคาจำหน่ายในไทยอยู่ที่ 27,900 บาท มีให้เลือก 3 สี ได้แก่ Midnight Blue, Mocha Brown และ Titanium Grey โดดเด่นด้วยกล้องหลังคู่เลนส์ Leica ยกระดับการถ่ายภาพอย่างชาญฉลาดด้วยการผสานกับเทคโนโลยี AI, แบตเตอรี่สุดอึด 4000 mAh พร้อมเทคโนโลยี AI จัดการแบตเตอรี่อัจฉริยะ ที่สามารถใช้งานได้ยาวนานตลอดทั้งวัน และรองรับ Super Charge ใช้งานได้อย่างต่อเนื่อง
ทั้งยังมีนวัตกรรม PC Mode รองรับการเชื่อมต่อกับหน้าจอมอนิเตอร์ ที่ใช้งานได้โดยไม่ต้องพึ่งพาอุปกรณ์เสริม, สามารถแปลภาษาได้อัตโนมัติแม้จะอยู่ในโหมดออฟไลน์, ระบบ GPS โฉมใหม่ใช้งานได้อย่างแม่นยำไม่มีติดขัดแม้อยู่ในจุดอับสัญญาณ รวมถึงมีสเปคการใช้งานอื่นๆ ที่อัดมาให้แบบเน้นๆ พูดแล้วอย่ารอช้าเราไปติดตามชมรีวิว Huawei Mate 10 Pro เครื่องนี้กันเลยค่ะ
ข้อมูลสเปค Huawei Mate 10 Pro
Features | Huawei Mate 10 Pro |
วันเปิดตัว : | – พฤศจิกายน 2560 |
ราคา : | – 27,900.- (ณ วันที่ 9 ม.ค. 61) |
ระบบปฏิบัติการ : | – Android 8.0 Oreo ครอบทับ EMUI 8.0 |
หน้าจอ : | – หน้าจอ OLED |
– ขนาด 6 นิ้ว | |
– อัตราส่วน 18:9 | |
– แบบ FullView Display | |
– ความละเอียด 2160×1080 พิกเซล (Full HD+) | |
– Multitouch | |
CPU : | – Kirin 970 แบบ Octa-Core ความเร็ว 2.36GHz + NPU |
GPU : | – Mali-G72 MP12 + AI |
RAM : | – 6GB |
ROM : | – 128GB |
– ไม่รองรับ microSD Card | |
กล้องหลัง : | – 20MP (Monochrome) + 12MP (RGB) |
– ค่ารูรับแสง f/1.6 | |
– dual tone LED flash | |
– OIS | |
– PDAF | |
– Hybrid Focus แบบ 4 in 1 | |
– 2x Hybrid Zoom | |
– Laser Auto Focus | |
– Touch Focus | |
– Panorama | |
– HDR | |
กล้องหน้า : | – 8MP |
– ค่ารูรับแสง f/2.0 | |
Video : | – 4K |
Battery : | – 4000 mAh รองรับ SuperCharge |
ขนาด : | – 154.2×74.5×7.9 มม. |
น้ำหนัก : | – 178 กรัม |
รองรับซิม : | – Dual SIM (4G + 4G) |
ระบบกันน้ำ : | – IP67 |
ระบบเครือข่าย : | – 3G : 850/900/1800/1900 MHz |
– 4G LTE | |
ระบบเชื่อมต่อ : | – Wi-Fi 802.11a/b/g/n/ac 2.4G |
– Bluetooth 4.2 | |
– aptX/aptX | |
– USB Type C | |
– NFC | |
– 3.5mm jack | |
GPS : | – GPRS |
– Glonass | |
– A-GPS | |
– BDS | |
Sensor : | – Fingerprint |
– Gyroscope | |
– Compass | |
– Ambient Light | |
– Proximity | |
– Hall | |
– Barometer | |
– Infrared Remote Control | |
– G-Sensor | |
สี : | – น้ำเงิน (Midnight Blue) |
– น้ำตาลทอง (Moccha Brown) | |
– เทา (Titanium Grey) |
แกะกล่อง Huawei Mate 10 Pro
อุปกรณ์ต่างๆ ประกอบไปด้วย
– ตัวเครื่อง Huawei Mate 10 Pro สีน้ำตาลทอง (Moccha Brown)
– อุปกรณ์หูฟังแบบ USB-C
– Adapter ชาร์จแบตเตอรี่ รองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็ว
– สายชาร์จ USB-C
– หัวแปลงหูฟังแบบ 3.5 มิลลิเมตร เป็น USB-C
– เคสกันรอย
– คู่มือการใช้งานเบื้องต้น
– เข็มจิ้มถาดซิมการ์ด
ทำความรู้จัก Huawei Mate 10 Pro
ด้านหน้า ใช้หน้าจอ OLED แบบ FullView Display ขนาด 6 นิ้ว ความละเอียด 2160×1080 พิกเซล (Full HD+) อัตราส่วนการแสดงผล 18:9 เพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การรับชมที่น่าทึ่งด้วยเทคโนโลยี HDR10 ให้สีสดแจ่มๆ และสว่างสดใส ซึ่งถึงแม้ว่า Huawei Mate 10 Pro จะมาพร้อมหน้าจอขนาด 6 นิ้ว แต่ว่าตัวเครื่องนั้นมีขนาดไม่ใหญ่ตามไปด้วย สามารถใช้งานได้อย่างสะดวกสบายค่ะ
ด้านหน้าส่วนบน ประกอบด้วย เซ็นเซอร์หน้าจอ, ช่องลำโพงสนทนา, เลนส์กล้องหน้าความละเอียด 8 ล้านพิกเซล, เซ็นเซอร์ต่างๆ และไฟ LED สำหรับแจ้งเตือน
ด้านหน้าส่วนล่าง ประกอบไปด้วย ปุ่มนำทางแบบทัชสกรีนในหน้าจอทั้งหมด ได้แก่ ปุ่มย้อนกลับ, ปุ่มโฮม และปุ่ม Recent Apps ถัดลงมาด้านล่างเพียงเล็กน้อยจะเป็นโลโก้แบรนด์ Huawei
ด้านหลัง Huawei Mate 10 Pro มาพร้อมบอดี้กรอบกระจกทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ตัวเครื่องขนาด 154.2×74.5×7.9 มิลลิเมตร กระจกหน้าจอขอบโค้งทั้ง 4 ด้าน ถือจับกระชับมือ มีน้ำหนักเบา 178 กรัม สามารถกันน้ำกันฝุ่นได้ตามมาตรฐาน IP67 โดดเด่นด้วยกล้องหลังคู่เลนส์ Leica จากแบรนด์ชั้นนำระดับโลก ที่จัดวางในรูปแบบแนวตั้ง ถัดลงมาเพียงเล็กน้อยจะเป็นเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ
ซึ่งมีการออกแบบลักษณะ Systematic Design มีแถบ Signature Stripe โดยเป็นแถบที่รวมกล้องหลังคู่ ไฟแฟลช LED และตัว Autofocus อยู่ในแถบเดียว ดูสมมาตรลงตัวแบบฉบับเรือธงมองปุ๊บก็รู้เลยว่าเป็นตระกูล Mate 10 Series และเป็นครั้งแรกด้วยที่ใช้วัสดุที่เป็นกระจกผสานโลหะ ทำให้ตัวเครื่องแข็งแรงทนทานแฝงไปด้วยความหรูหรา
ด้านหลังส่วนบน ประกอบด้วย กล้องหลังคู่เลนส์ Laica Summilux UX-H ความละเอียด 20 ล้านพิกเซล (Monochrome) และ 12 ล้านพิกเซล (RGB) ค่ารูรับแสง f/1.6 เลนส์กล้องนูนเล็กน้อย ฝั่งซ้ายมือจะเป็น dual tone LED flash ขณะที่ด้านขวามือเป็นเลเซอร์โฟกัส และถัดลงมาเพียงเล็กน้อยจะเป็นเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ โดยมีแถบ Signature Stripe สีน้ำตาลที่เข้มกว่าสีตัวเครื่องคาดอยู่ด้านบน แบ่งโซนกล้องถ่ายภาพ และสแกนลายนิ้วมือได้อย่างชัดเจน
ด้านหลังส่วนล่าง พบโลโก้แบรนด์ Huawei
ด้านบนตัวเครื่อง พบรูไมโครโฟน และเซ็นเซอร์อินฟราเรด (IR)
ด้านล่างตัวเครื่อง จะมีรูไมโครโฟนจำนวน 2 ตัว, พอร์ตเชื่อมต่อ USB Type-C และช่องลำโพงเสียง โดยจะไม่มีช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร สำหรับการใช้งานหูฟังนั้นจะต้องเสียบหัวแปลงหูฟังที่มีแถมมาให้ภายในกล่องค่ะ
ด้านซ้ายตัวเครื่อง พบช่องใส่ซิมการ์ด โดยรองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ดแบบ Nano SIM แต่จะไม่รองรับ microSD Card นะคะ และรุ่นที่เรากำลังรีวิวนี้มาพร้อมความจุมากถึง 128GB ซึ่งถือว่าความจุมากทีเดียว
นอกจากนี้ Huawei Mate 10 Pro ยังรองรับ Dual 4G LTE คือสามารถใช้งานซิม 1 และซิม 2 สัญญาณ 4G ได้พร้อมกันทั้งคู่ และถือว่าเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นแรกของโลกที่รองรับเครือข่ายความเร็วสูงระดับ 4.5G โดยเป็นการผสมผสานกันระหว่างเทคโนโลยี 4×4 MIMO + 256QAM + 3CA ความเร็วดาวน์โหลดสูงสุด 1.2 Gbps พร้อมกับสามารถใช้งาน 4G Standby สองซิมพร้อมกันได้ค่ะ
ด้านขวาตัวเครื่อง ประกอบไปด้วย ปุ่มเพิ่มลดระดับเสียง และปุ่มพาวเวอร์สำหรับเปิด-ปิด หรือรีสตาร์ทตัวเครื่อง
การแคปภาพหน้าจอ กดค้างไปที่ปุ่มลดเสียง + ปุ่มพาวเวอร์
ทดสอบประสิทธิภาพ
เมื่อนำ Huawei Mate 10 Pro ที่มาพร้อมชิปเซ็ต Kirin 970 แบบ Octa-Core ความเร็ว 2.36GHz และหน่วยประมวลภาพกราฟิก Mali-G72 เข้าทดสอบประสิทธิภาพการใช้งานผ่านแอปพลิเคชั่น AnTuTu เวอร์ชั่นล่าสุด พบว่าสามารถทำคะแนนรวมอยู่ที่ 171594 คะแนน โดยอยู่ในระดับที่ดีเยี่ยมสำหรับสมาร์ทโฟนระดับเรือธง
และพบว่าสามารถทำคะแนนได้สูงกว่า Samsung Galaxy Note8 (ชมรีวิว) ที่มาพร้อมชิปประมวลผล Exynos 8895 แบบ Octa-Core ความเร็ว 2.3GHz และหน่วยประมวลภาพกราฟิก Mali-G71 ที่ทำได้ 165768 คะแนนเล็กน้อย ซึ่งข้อสังเกตคือเรือธงทั้ง 2 มีราคาต่างกันราว 6,000 บาท แต่แรงพอๆ กัน และใช้งานได้ลื่นไหล ประสิทธิภาพเต็มเปี่ยมเหมือนๆ กัน ต่างกันที่ความชอบแล้วค่ะงานนี้
สำหรับสเปคการใช้งานของ Huawei Mate 10 Pro ตามฐานข้อมูลของแอปฯ AnTuTu เวอร์ชั่นล่าสุดระบุว่ามาพร้อมรหัสโมเดล BLA-L29 ทำงานบนระบบปฏิบัติการ Android 8.0 Oreo ขับเคลื่อนด้วยขุมพลัง Kirin 970 มีหน่วยประมวลภาพกราฟิก Mali-G72 หน้าจอความละเอียด 2160×1080 พิกเซล หน่วยความจำแรมที่ใช้งานได้ทั้งหมด 2288MB ความจุที่ใช้งานได้ทั้งหมด 105.20GB และรองรับ NFC เป็นต้น
หลังจากดาวน์โหลดเกมมาเล่นพบว่าสามารถทำงานได้ลื่นไหลดี ไม่มีอาการหน่วงหรือกระตุกใดๆ ทั้งสิ้น ระบบทัชสกรีนทำงานได้ดีมาก ภาพสวยคมชัดเล่นได้แบบเพลินๆ สำหรับการแสดงผลแบบเต็มหน้าจอนั้นช่วยให้ใช้งานได้เต็มตามากยิ่งขึ้น
Interface
หน้าจอ Lock screen ปลดล็อกตัวเครื่องด้วยการปัดหน้าจอขึ้น และเข้าถึงกล้องถ่ายภาพได้อย่างรวดเร็วที่มุมซ้ายล่าง
หลังปลดล็อคหน้าจอจะพาเข้าสู่หน้า Home screen เมื่อปัดหน้าจอขึ้นหรือลงจะพาเข้าสู่หน้ารวมแอปฯ ที่ติดมากับตัวเครื่อง
สามารถปรับแต่งหน้า Home screen ได้เอง ไม่ว่าจะเป็น ตั้งค่าวอลเปเปอร์ หน้าวิดเจ็ต หรือการตั้งค่าอื่นๆ
หน้า Quick settings จะต้องเลื่อนหน้าจอด้านบนลง ส่วนด้านล่างจะเป็นการแจ้งเตือนต่างๆ และหากกดค้างไปที่ปุ่มพาวเวอร์ข้างตัวเครื่องจะมีปุ่มรีเซ็ตเครื่อง หรือปิดการใช้งานเครื่องค่ะ
สำหรับ HiBoard จะแสดงรายชื่อแอปฯ ที่ใช้งานเป็นประจำ แจ้งเตือนเกี่ยวกับข้อมูลสุขภาพ และข้อมูลข่าวสารต่างๆ ซึ่งอ้างอิงตามพฤติกรรมการใช้งานของเรา
ศูนย์รวมแอปฯ Google มีให้เลือกใช้งานมากมาย ไม่ว่าจะเป็นแผนที่ หรือยูทูป และแอปฯ ยอดนิยมอื่นๆ, แหล่งดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่น นอกจากนี้ Huawei Mate 10 Pro ยังรองรับฟังก์ชันการใช้งานฟังก์ชัน Split Screen เรียกใช้งาน 2 หน้าจอโดยกดค้างไปที่ปุ่ม Recent Apps แล้วเลือกแอปฯ ที่ต้องการใช้งาน
เมนูการใช้งานภายในตัวเครื่อง
สามารถปรับตั้งค่าตัวกรองแสงสีฟ้าได้ที่โหมดสบายตา เพื่อถนอมสายตาระหว่างใช้งาน โดยหน้าจอจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองนวล และสามารถปรับอุณหภูมิความเข้มของโทนสีเหลืองได้เองอีกด้วย
เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ (Fingerprint) ถูกติดตั้งไว้ที่ด้านหลังตัวเครื่อง ปลดล็อคตัวเครื่องได้ภายในอย่างรวดเร็ว สำหรับการถ่ายภาพ, รับสายโทรเข้า หรือปิดนาฬิกาปลุก สามารถใช้นิ้วแตะไปที่ตัวสแกนลายนิ้วมือเพื่อกดถ่ายภาพ, รับสาย หรือปิดเสียงนาฬิกาปลุกได้ค่ะ
หน้าจัดการไฟล์ หรือหน่วยความจำต่างๆ ภายในตัวเครื่อง
ในส่วนนี้จะเป็นเคล็ดลับการใช้งานพิเศษอื่นๆ ภายในตัวเครื่อง ที่ผู้ใช้งานอาจจะยังไม่ทราบค่ะ
ระบบ Private Space เป็นฟีเจอร์รักษาความปลอดภัยข้อมูลภายในตัวเครื่อง โดยเป็นการสร้างพื้นที่จำลองขึ้นมาช่วยให้เราสามารถเก็บข้อมูลที่เป็นส่วนตัวได้อย่างปลอดภัยมากขึ้น ด้วยการใช้เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือเป็นกุญแจเพื่อเข้าไปถึงข้อมูลนั้นๆ
สำหรับ Phone Clone ผู้ใช้งานสามารถย้ายข้อมูลระหว่างสมาร์ทโฟนเครื่องเก่ามายังเครื่องใหม่ได้ง่ายๆ ไม่ว่าจะเป็น ย้ายรายชื่อ, ข้อความ, รูปภาพ, เพลง, วีดีโอ และแอปพลิเคชั่น เป็นต้น และถัดมาจะเป็นหน้ารวมแอปฯ ยอดนิยมที่ติดมากับตัวเครื่อง
Huawei Healthcare เป็นโซลูชันด้านการดูแลสุขภาพที่มีการเชื่อมต่ออย่างเต็มรูปแบบของ Huawei เหมาะสำหรับคนรักสุขภาพแบบครบวงจร
แอปฯ ตัวจัดการโทรศัพท์ของ Huawei Mate 10 Pro เป็นแหล่งรวมจัดการพื้นที่ต่างๆ ภายในเครื่องให้ลื่นไหลขึ้น ทำความสะอาดซอฟต์แวร์ในตัวเครื่องด้วยการล้างข้อมูลขยะต่างๆ สแกนไวรัสในตัวเครื่อง หรือตั้งค่าการรับส่งข้อมูล รายละเอียดของข้อมูล การอนุญาตเข้าถึงแอปฯ รวมไปถึงการตั้งค่าเกี่ยวกับการใช้บริการเครือข่ายด้วย
หน้าแจ้งเตือนอัพเดทระบบเป็น Android เวอร์ชั่นล่าสุด
การใช้งานอัจฉริยะที่เพิ่มความสะดวกให้แก่ผู้ใช้ อาทิ พลิกตัวเครื่องสมาร์ทโฟนเพื่อปิดเสียงเรียกเข้า หรือใช้นิ้วเคาะที่หน้าจอเพื่อแคปหน้าจอ เป็นต้น
Huawei Mate Mate 10 Pro นอกจากจะมีแบตเตอรี่ความจุมากถึง 4000 mAh ยังมาพร้อมระบบจัดการแบตเตอรี่อัจฉริยะ Smart Power โหมดประหยัดพลังงานขั้นสูง และรองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็ว SuperCharge ที่ได้รับการรับรองระบบความปลอดภัย 15 ชั้น จาก TÜV Rheinland ประเทศเยอรมนีอีกด้วย
โหมดเครื่องมือมีมาให้ครบครัน เริ่มต้นที่แอปฯ วัดสภาพอากาศ, เครื่องคิดเลขปุ่มกดใหญ่
เครื่องบันทึกเสียง, ไฟฉาย และกระจกเงา
HiCare บริการหลังการขาย, เข็มทิศ และการสำรองข้อมูลภายในตัวเครื่อง
อีกหนึ่งฟีเจอร์สุดอัจฉริยะของ Huawei Mate 10 Pro คือสามารถแปลภาษาได้อย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการพิมพ์ข้อความ เสียง หรือรูปภาพ แปลบทสนทนาได้มากกว่า 1 ต่อ 1 หรือการสนทนาแบบกลุ่ม
แปลเสียงพูดหรือพิมพ์รวมถึงแปล Text บนรูปภาพได้เร็วกว่าที่เคยมีมา
และที่สำคัญสามารถแปลข้อความได้ทันทีแม้จะไม่ได้เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตก็ตาม โดยใช้เทคโนโลยี AI เข้ามาเป็นตัวขับเคลื่อนช่วยให้สามารถแปลภาษาแบบออฟไลน์ได้กว่า 50 ภาษา นอกจากนี้ยังสามารถแปลได้อย่างรวดเร็วกว่าเดิมถึง 3 เท่า เมื่อใช้งานผ่านแอปพลิเคชันแปลภาษาที่ทาง Huawei ร่วมพัฒนาขึ้นกับ Microsoft
โหมดการใช้งานของกล้องถ่ายภาพ
มาเริ่มกันที่กล้องหน้าของ Huawei Mate 10 Pro โหมดถ่ายภาพปกติจะมีการปรับรับแสงสีให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดแบบอัตโนมัติ ถ่ายภาพโหมด Portrait หน้าชัดหลังเบลอด้วยเลนส์กล้อง Leica พร้อมกับมีโหมดบิวตี้ปรับค่าสวยเนียน โหมดโบเก้ และบันทึกภาพเคลื่อนไหวเป็นวิดีโอขนาดสั้นๆ ขณะถ่ายภาพได้ และมีฟิลเตอร์สีมาให้ใช้งานด้วย
โหมดถ่ายภาพพิเศษที่มีมาให้ค่อนข้างน้อยไปนิดแต่ยังตอบโจทย์การใช้งาน ไม่ว่าจะเป็น พาโนรามา : เก็บภาพมุมกว้าง, พาโนรามา 3 มิติ : ถ่ายภาพเซลฟี่ด้วยการกดชัตเตอร์ค้างไว้ และเลื่อนไปมาในทิศทางเดียวรอบตัว, ฟิลเตอร์สี : ฟิลเตอร์ที่เหมาะสมสามารถเพิ่มคุณภาพของภาพถ่ายได้ในแบบฉบับส่วนตัว และค่าสีสามารถปรับระดับได้
หน่วงเวลา : หรือเรียกง่ายๆ ว่าไทม์แลปส์ สามารถปรับแก้อัตราเฟรมในขณะบันทึก ด้วยความหน่วงการถ่ายวิดีโอให้สอดคล้องกับฉากหรือเวลา และลายน้ำ : สามารถเลือกประเภทของภาพหรือข้อความได้อย่างหลากหลาย ในการเพิ่มไปยังภาพถ่ายให้เป็นลายน้ำ และลากไปยังตำแหน่งที่ต้องการ และการบันทึกวิดีโอแบบปกติ : กล้องจะปรับการเปิดรับแสงและสีเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีแบบอัตโนมัติ สามารถเปิดใช้งานโหมดบิวตี้ระหว่างถ่ายวิดีโอเพื่อความสวยงามสว่างและละเอียดอ่อนได้
โหมดถ่ายภาพปกติ : จะมีการปรับรับแสงสีให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดแบบอัตโนมัติ รูรับแสงกว้างถ่ายภาพในที่แสงน้อยได้ดียิ่งขึ้น รองรับการถ่ายภาพโหมด Portrait หน้าชัดหลังเบลอด้วยเลนส์กล้องคู่จาก Leica พร้อมกับมีโหมดบิวตี้ปรับค่าสวยเนียน รองรับการบันทึกภาพเคลื่อนไหวเป็นวิดีโอขนาดสั้นๆ ขณะถ่ายภาพได้ และเมื่อสไลด์ปุ่มบนหน้าจอกล้องขึ้นด้านบนจะเป็นโหมดมืออาชีพ สไลด์ปุ่มลงด้านล่างจะเป็นโหมดกล้องอัจฉริยะค่ะ
โหมดถ่ายภาพพิเศษมีมาให้ใช้งานมากกว่ากล้องหน้า ไม่ว่าจะเป็น ภาพวาดด้วยแสง : โหมดเปิดรับแสงนานจะทำให้ชัตเตอร์สามารถรองรับการถ่ายภาพได้ 4 ฉาก
ภาพขาวดำ : เอฟเฟกซ์ภาพขาวดำด้วยเลนส์ขาวดำของกล้อง Leica, HDR : ช่วยให้ได้ภาพถ่ายที่มีความคมชัดสูง, ฟิลเตอร์สี : ฟิลเตอร์ที่เหมาะสมสามารถเพิ่มคุณภาพของภาพถ่ายได้ในแบบฉบับส่วนตัว และค่าสีสามารถปรับระดับได้
พาโนรามา 3 มิติ : ถ่ายภาพเซลฟี่ด้วยการกดชัตเตอร์ค้างไว้ และเลื่อนไปมาในทิศทางเดียว, พาโนรามา : สร้างภาพถ่ายมุมกว้างไม่ว่าจะเป็นแนวตั้งหรือแนวนอน, การถ่ายภาพกลางคืน : สร้างภาพถ่ายในที่แสงน้อยที่ดีกว่าด้วยโหมดลด noise สามารถปรับตั้งค่า ISO และเวลาเปิดรับแสงได้เอง, สแกนเอกสาร : สามารถสแกนเอกสารและปรับรูปทรงให้เป็นรูปทรงแบน หรือสี่เหลี่ยมผืนผ้าได้
ลายน้ำ : สามารถเลือกประเภทของภาพหรือข้อความได้อย่างหลากหลาย ในการเพิ่มไปยังภาพถ่ายให้เป็นลายน้ำ และลากไปยังตำแหน่งที่ต้องการ, สโลว์โมชั่น : การถ่ายวิดีโอแบบเคลื่อนที่ช้ากว่าความเป็นจริง, หน่วงเวลา : หรือเรียกง่ายๆ ว่าไทม์แลปส์ สามารถปรับแก้อัตราเฟรมในขณะบันทึก ด้วยความหน่วงการถ่ายวิดีโอให้สอดคล้องกับฉากและเวลา
การบันทึกวิดีโอแบบปกติ : กล้องจะปรับการเปิดรับแสงและสีเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีแบบอัตโนมัติ สามารถปรับตั้งค่ารูรับแสง และเปิดใช้งานโหมดบิวตี้ระหว่างถ่ายวิดีโอเพื่อความสวยเนียนได้เช่นเดียวกับกล้องหน้า
โดยกล้องมีความชาญฉลาดมากขึ้นด้วยเทคโนโลยี AI สามารถแยกประเภทวัตถุ ฉากตรงหน้า และปรับค่าแสงสีต่างๆ ให้เหมาะสมได้อย่างอัตโนมัติ อาทิ ขณะที่เราถ่ายภาพ Text ตัวอักษร กล้องจะรู้ทันทีว่าเราถ่ายตัวอักษร พร้อมกับโชว์ไอคอน “T” และหากเราถ่ายภาพอาหารก็จะแสดงเป็นไอคอนรูปช้อนกับส้อม โดยกล้องสามารถเรียนรู้ได้ถึง 13 Objects และ Scene ช่วยเลือกรูปแบบการถ่ายภาพให้เหมาะสมลงตัวค่ะ
ตัวอย่างภาพถ่ายกล้องหลังจาก Huawei Mate 10 Pro
ตัวอย่างภาพถ่ายกล้องหน้าจาก Huawei Mate 10 Pro
สำหรับกล้องหน้าเซลฟี่ของ Huawei Mate 10 Pro มาพร้อมเลนส์กล้องจาก Laica ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล ค่ารูรับแสง f/2.0 พร้อมฟีเจอร์ AI Selfie ช่วยในการถ่ายเซลฟี่ได้สวยงามสมจริงมากยิ่งขึ้น รองรับการถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอได้อย่างมีมิติ จับโฟกัสในจุดที่ต้องการได้ดี และรองรับโหมดบิวตี้ปรับค่าความขาวนวลเนียนอีกด้วย ซึ่งจากตัวอย่างภาพถ่ายปรับค่าบิวตี้อยู่ในระดับ 3 (สามารถปรับได้ 10 ระดับ) ภาพเซลฟี่สวยคมชัดถูกใจ ขณะที่ภาพขวาถ่ายแบบ Portrait หน้าชัดหลังเบลอก็สวยงามไม่แพ้กัน
และระหว่างถ่ายภาพ Portrait ก็ยังสามารถปรับระดับโหมดบิวตี้ได้ โดยรวมแล้วถูกใจทั้งกล้องหน้าและกล้องหลัง ซึ่งกล้องหลังถ่ายภาพออกมาได้สว่างสดใสแม้จะถ่ายในเวลาค่ำคืน กล้องถ่ายภาพผสานระบบ AI ฉลาดมาก ถ่ายวิวสวย ถ่ายอาหารสีสดน่ารับประทาน ระบบโฟกัสไว ส่วนกล้องหน้าภาพออกมาก็ดูเป็นธรรมชาติไม่เวอร์ค่ะ
จุดเด่น
– กล้องหลังคู่เลนส์ Leica ความละเอียด 20MP (Monochrome) + 12MP (RGB) โดยใช้เลนส์ SUMMILUX-H ที่มีค่ารูรับแสงกว้างถึง f/1.6 ถ่ายภาพในที่แสงน้อยได้ดีจริงๆ
– มาพร้อม dual tone LED flash รองรับการซูมแบบไฮบริดได้ 2 เท่า มีระบบกันสั่นไหวแบบออปติคัล และมีระบบโฟกัส 4 ประเภท ได้แก่ PDAF + CAF + Laser + Depth Auto Focus
– ยกระดับการถ่ายภาพอย่างชาญฉลาดด้วยเทคโนโลยี AI สามารถแยกประเภทวัตถุ ฉากตรงหน้า และปรับค่าแสงสีต่างๆ ให้เหมาะสมได้อย่างอัตโนมัติ
– กล้องหน้าจาก Laica ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล ค่ารูรับแสง f/2.0 มีฟีเจอร์ AI Selfie ถ่ายเซลฟี่ได้สวยงามสมจริง ถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอได้อย่างมีมิติสวยงาม และมีโหมดบิวตี้ปรับแต่งใบหน้าสวย
– แบตเตอรี่ความจุสูง 4000 mAh มีเทคโนโลยี AI จัดการแบตเตอรี่อัจฉริยะ Smart Power และรองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็ว SuperCharge ที่ชาร์จเร็วจริงๆ และที่สำคัญแบตเตอรี่สามารถใช้งานได้ยาวนานข้ามวัน
– นวัตกรรม PC Mode รองรับการเชื่อมต่อกับหน้าจอมอนิเตอร์ โดยไม่ต้องพึ่งพาอุปกรณ์เสริม นอกจาก USB Type – C To HDMI Adaptor เพียงเส้นเดียวเท่านั้น
– สามารถแปลภาษาได้อัตโนมัติแม้จะอยู่ในโหมดออฟไลน์ ในส่วนนี้แอดมินชื่นชอบมากๆ คือเราสามารถแปลภาษาได้อย่างเร็วทันใจแม้จะไม่ได้เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตก็ตาม โดยเป็นแอปฯ แปลภาษาที่ทาง Huawei ร่วมพัฒนาขึ้นกับ Microsoft แปลได้แม้แต่เสียงพูด หรือรูปภาพ เจ๋งสุดๆ
– ระบบ GPS ใช้งานได้อย่างแม่นยำไม่มีสะดุดแม้จะอยู่ในที่อับสัญญาณ
– ตัวเครื่องมาตรฐานกันน้ำกันฝุ่น IP67
– ชิปประมวลผล Kirin 970 แบบ Octa-Core ความเร็ว 2.36GHz ผสานการทำงานกับเทคโนโลยี AI
– หน่วยความจำแรม 6GB จับคู่ความจุ 128GB
– ระบบเสียงรองรับ Hi-Res แบบ 32Bit /384K
– รองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ด แบบ Dual 4G LTE คือสามารถใช้งาน 2 ซิมสัญญาณ 4G Standby ได้พร้อมกันทั้งคู่
– ทำงานบนระบบปฏิบัติการ EMUI 8.0 บนพื้นฐาน Android 8.0 Oreo
– รองรับ Dynamic Wallpaper เปลี่ยนสภาพอากาศเองตลอดทั้งวัน
– หน้าจอ OLED ขนาด 6 นิ้ว แบบ FullView Display อัตราส่วน 18:9 ความละเอียด Full HD+ รองรับ Split Screen การใช้งาน 2 หน้าจอ
– เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือปลดล็อคได้อย่างรวดเร็ว ใช้ประโยชน์จากตัวสแกนลายนิ้วมือได้หลากหลาย
– ตัวเครื่องมีให้เลือก 3 สี ได้แก่ สีน้ำเงิน (Midnight Blue), สีน้ำตาลทอง (Moccha Brown) และสีเทา (Titanium Grey)
ข้อสังเกต
– ไม่รองรับ microSD Card
– เมื่อใช้งานติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน ตัวเครื่องจะเกิดความร้อนหน่อยๆ
– ตัวเครื่องเกิดรอยนิ้วมือได้ง่าย ควรสวมใส่เคสระหว่างใช้งาน
– เสียงลำโพงยังไม่กระหึ่มเท่าที่ควร
– ไม่รองรับช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร
ตัวเลือกอื่นในระดับราคาใกล้เคียงกัน
– iPhone 8 (64GB)
– iPhone 7 Plus (32GB)
– Huawei Mate 9 Pro
– Moto Z
– Samsung Galaxy S8
– Sony Xperia XZ Premium
ขอขอบคุณ Huawei Technologies (Thailand) Co. Ltd.
Leave a Reply