เมื่อลูกสาววัย 2 ขวบครึ่งเริ่มติดแท็บเล็ต และนี่คือมาตรการที่ผมใช้!!

เมื่อลูกสาววัย 2 ขวบครึ่งเริ่มติดแท็บเล็ต และนี่คือมาตรการที่ผมใช้!!

สวัสดีค่ะเพื่อนๆ ในปัจจุบันเป็นยุคที่ โทรศัพท์มือถือ สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต ไอแพด หรือเครื่องมือการสื่อสารที่พกพาติดตัวไปด้วยทุกที ได้เข้ามามีบทบาทในชีวิตของเราเป็นอย่างมาก ถึงขนานนามว่าเป็นยุคสังคมก้มหน้าเลยทีเดียว เช่นเดียวกันค่ะกับเด็กและเยาวชนในปัจจุบัน คุณพ่อคุณแม่ก็มักจะตามใจลูก ไม่กล้าขัดใจ กลัวลูกจะโวยวาย จึงมักจะส่งเจ้าสมาร์ทโฟน หรือ แท็บเล็ต ให้เพื่อที่จะได้ตัดความรำคาญไป

แต่ใครจะรู้ว่าสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่เหล่านั้นหยิบยื่นให้เด็กๆ คือ ความก้าวร้าว ความเก็บกด หมกมุ่น สมาธิสั้น ทำให้เด็กๆ มีพฤติกรรมที่ไม่ดี ไม่น่ารัก ผิดกับธรรมชาติที่เด็กๆ ควรจะเป็น ควรจะได้เจอ ได้ใช้ชีวิต มากกว่าจะจ้องไปที่หน้าจอแท็บเล็ตและใช้นิ้วสไลด์ไปยังหน้าเว็บต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย มากกว่าที่จะใช้มือจับดินสอเขียนลงไปในแผ่นกระดาษ ทุกสิ่งล้วนแล้วแต่เกิดจากผู้เป็นพ่อและแม่ทั้งสิ้นว่าจะหยิบยื่นสิ่งไหนให้แก่ลูกของตน และจะเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับลูกของตนมากน้อยแค่ไหน

วันนี้เราขอนำเสนอบทความดีๆ แง่คิดดีๆ ของ คุณ Midnight_Gee จาก Pantip.com ที่ได้มาแชร์ประสบการณ์ และแง่คิด ข้อคิดดีๆ สำหรับมาตรการที่ตนได้ใช้กับลูกน้อยวัย 2 ขวบครึ่ง ที่เริ่มติดแท็บเล็ต เรามาดูบทความของคุณพ่อท่านนี้กันเลยค่ะ

สาเหตุที่ผมไม่ให้ลูกสาวเล่นสมาร์ทโฟน และแท็บเล็ตนี่ต้องเล่าย้อนไปเมื่อราว 3 ปีก่อน ลูกน้อยยังซุกตัวอยู่ในท้องคุณแม่เป็นเดือนที่ 7 ครั้งนั้นผมมีโอกาสได้ติดรถรุ่นพี่คนหนึ่งไปทำงานที่ต่างจังหวัดด้วยกัน พี่เค้าเลยถือโอกาสพาลูกชายวัย 5 ขวบ ไปเที่ยวด้วย แต่เนื่องจากเรานัดกันเช้ามากหนูน้อยเลยถูกอุ้มจากเตียงมานอนต่อในรถ

เวลาผ่านไปราว 1 ชั่วโมง เด็กน้อยก็ตื่นมาด้วยสีหน้างงๆ ว่าตัวเองอยู่ที่ไหนมาทำอะไร แต่คำแรกที่เค้าพูดขึ้นมาก็คือ

“พ่อ แท็บเล็ตอยู่ไหน”
พ่อเด็กตอบกลับว่า “สวัสดีอาก่อนสิลูก”
เด็กน้อยสวนทันควัน “ไม่ เอาแท็บเล็ตมา”
พ่อเลยเริ่มดุ “เด็กไม่ดี พ่อไม่ให้หรอก”
แล้วเจ้าหนูน้อยก็เริ่มอาละวาดอยู่ที่เบาะหลัง ร้องไห้โวยวาย ทุบเบาะ พลางตะโกน “เอาแท็บเล็ตมาๆ หนูเกลียดพ่อแล้ว พ่อไม่รักหนู… จอดรถเดี๋ยวนี้ หนูจะลงตรงนี้”

อาละวาดอยู่ได้สัก 2 นาที ตัวพ่อก็ใจอ่อนหยิบแท็บเล็ตส่งให้ เท่านั้นแหละกลายเป็นคนละคน นั่งเล่นเกม เปิดยูทูปดูการ์ตูน เงียบกริบจนผมนึกว่าหลานลงจากรถไปแล้ว

หลังจากที่เด็กน้อยได้แท็บเล็ตไปครอบครอง เค้าก็ไม่วางมันอีกเลย ทั้งตอนจอดกินข้าวก็ต้องให้พ่อป้อนเพราะมือไม่ว่าง ทั้งระหว่างรอพ่อประชุมเป็นชั่วโมงก็ไม่มีเสียงบ่นสักแอะ… แท็บเล็ตนี่มันช่างวิเศษจริงๆ

หลังเหตุการณ์นั้นไม่กี่วัน ผมมีโอกาสได้พูดคุยกับรุ่นน้องคนหนึ่งซึ่งเป็นแพทย์เฉพาะทางจิตเวชเด็ก ผมเล่าเหตุการณ์ที่เพิ่งพบเจอมาให้เธอฟัง คุณหมอถอนหายใจแล้วพูดกับผมว่า

“พี่รู้ป่ะ วันๆ นี่หนูไม่ต้องทำอะไร นั่งบำบัดเด็กติดเกม ติดแท็บเล็ต มือถือนี่แหละ”

ในฐานะที่ผมเป็นว่าที่คุณพ่อผมจึงสนใจฟังเธอเป็นอย่างมาก ขอสรุปให้ฟังสั้นๆ เท่าที่พอจะจำได้ว่า

1. เด็กมักจะสมาธิสั้น เพราะแท็บเล็ตสามารถตอบสนองความต้องการได้รวดเร็วดั่งใจ เพียงปลายนิ้วสัมผัส อยากเปลี่ยนเกม อยากเปลี่ยนไปดูการ์ตูนตอนอื่น เรื่องอื่น เพียงลากนิ้วเบาๆ ก็ได้ดั่งใจแล้ว เด็กๆ จึงไม่ได้เรียนรู้การรอ การตั้งใจดูหรือเล่นอะไรตั้งแต่ต้นจนจบ

2. เด็กมักก้าวร้าว อันนี้ขึ้นกับว่าเล่นเกมที่มีความรุนแรงเกินวุฒิภาวะรึเปล่า เด็กมักจะจดจำสิ่งที่ตัวละครในเกมทำไปเล่นในชีวิตจริงบ้างโดยลืมไปว่า คนจริงๆ นั้นเจ็บได้ เสียใจได้ ตายได้ และไม่สามารถกดรีเซ็ทได้เหมือนในเกม

ส่วนที่ก้าวร้าวอีกแบบคือ ติดเกมมากจนแสดงออกแบบก้าวร้าวเพื่อให้ได้เล่นเกม แล้วผลที่ได้คือพ่อแม่ก็ยอมให้เล่น เด็กจึงจำว่าต้องก้าวร้าวแล้วจะได้เล่น

3. เด็กมักจะเก็บกด หมกมุ่น และขาดการปฎิสัมพันธ์กับคนรอบข้าง เข้าหาใครไม่เป็น ผูกสัมพันธ์กับคนอื่นไม่เป็น เพราะขาดการเรียนรู้กระบวนการเหล่านี้ เนื่องจากเกมและแอพต่างๆ ไม่ได้สอน

ผมตั้งใจฟังคุณหมอเล่าแล้วก็ตั้งปฎิญาณตนเลยว่าจะไม่ให้เหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นกับครอบครัวเราเด็ดขาด

แต่เมื่อเวลาผ่านไป ลูกน้อยของเราโตขึ้นทุกวันๆ แม้ว่าตัวผมกับภรรยาจะไม่ได้ให้ลูกเล่นมือถือ แท็บเล็ต แต่เรานี่แหละที่ใช้มันให้ลูกเห็นทุกวัน จนวันนึงเค้าก็เอ่ยปากขอว่า “หนูอยากดู A B C ยูทูปค่ะ” แล้วเราก็เปิดให้เค้าดูเพราะหวังว่าการฟังเพลงภาษาอังกฤษนั้นจะเป็นประโยชน์กับเด็ก

แล้วเด็กน้อยก็เริ่มขอดูทุกคืนก่อนนอน ยิ่งนับวันยิ่งขอดูบ่อยขึ้นถี่ขึ้น เล่นโทรศัพท์เป็นมากขึ้น เริ่มกดเลือกเพลงเองเป็น กดหยุด กดเปลี่ยนเพลงเป็น จนผมเริ่มรู้สึกว่าเด็กน้อยเริ่มติดมันเข้าแล้ว

ผมจึงเป็นฝ่ายเริ่มคุยกับภรรยาอย่างจริงจังเพื่อออกมาตรการหักดิบ ด้วยการงดเล่นโทรศัพท์ให้ลูกเห็น ห้ามลูกจับโทรศัพท์และแท็บเล็ตของพ่อกับแม่เด็ดขาด ไม่ว่าลูกจะขอร้อง อ้อนวอน หรือร้องไห้โวยวายก็ห้ามใจอ่อน

ทั้งตัวพ่อและแม่ปฎิบัติตามมาตรการนี้ได้เป็นอย่างดี ถึงขั้นที่ผมต้องไปแชทไลน์คุยงาน ตอบลูกค้าในห้องน้ำนานเกือบชั่วโมงก็เคยทำมาแล้ว ทั้งต้องพยายามหาสิ่งอื่นมาดึงดูดความสนใจของเค้า ไม่ว่าจะพาเล่นกีตาร์ ร้องเพลง ปั่นจักรยาน เล่นการ์ดคำศัพท์ อ่านนิทาน ซึ่งต้องใช้เวลาเยอะกว่าการส่งแท็บเล็ตให้เค้าเล่นอย่างแน่นอน

เวลาผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ ผลที่ได้คือ เด็กน้อยเข้าใจแล้วว่าโทรศัพท์มึไว้ใช้งาน ใช้คุยงาน ใช้คุยกับคนที่เราคิดถึง ไม่ได้มีไว้เล่นไว้ดูการ์ตูน และไม่เคยขอเล่นอีกเลย แถมหลายครั้งที่เห็นปู่เล่นแท็บเล็ตยังเข้าไปเรียกปู่ว่า “ปู่ๆๆ มาเล่นกับหนูดีกว่า” แล้วก็ชวนปู่ไปวาดรูป อ่านนิทาน สนุกสนานตามธรรมชาติของเด็ก

ข้อคิดหนึ่งของผมจากเหตุการณ์ข้างต้นนี้คือ

“สำหรับเด็กน้อย พ่อกับแม่คือโลกจริงๆ ของเขา ลูกควรจะได้เรียนรู้ทุกอย่างผ่านโลกจริงใบนี้อย่างถ่องแท้ก่อนจะเริ่มไปเรียนรู้โลกเสมือนจากอินเทอร์เน็ต”

มือของพ่อแม่มีหน้าที่ประคองมือน้อยๆของลูกขีดเขียนตัวหนังสือ และรูปต่างๆ แล้วมือน้อยนั้นก็จะได้รับรู้ทั้งความอบอุ่นจากมือ อ้อมแขน น้ำเสียงของพ่อแม่ไปพร้อมกับการขีดเขียนนั้น

ซึ่งคงดีกว่าปล่อยให้มือเล็กๆ นั้นสไลด์ไปบนหน้าจอโทรศัพท์หรือแท็บเล็ตเพียงลำพัง และสัมผัสได้เพียงไออุ่นจากความร้อนของจอสี่เหลี่ยมอย่างแน่นอน

ครั้งต่อไปที่คุณพ่อคุณแม่ทั้งหลายต้องเลือกว่าจะยื่นกระดาษกับดินสอสีแล้วใช้เวลาร่วมกับเค้า หรือยื่นแท็บเล็ตให้ลูกไปนั่งดูเงียบๆ พึงระลึกไว้สักหน่อยว่าเด็กน้อยที่นั่งอยู่ตรงหน้าคุณนั้นไม่เคยขอคุณมาเกิดเลย มีแต่พ่อๆ แม่ๆ อย่างเราๆ นี่แหละที่นับวันเฝ้ารอวันที่จะได้เห็นหน้าเค้า ดังนั้นจงมอบสิ่งที่มีค่าที่สุดให้เค้าเถิด สิ่งมีค่าที่ไม่ต้องไปหาซื้อที่ไหน… “เวลา”

ด้วยรักและปรารถนาดี
จากพ่อน้องจันทร์เจ้า

ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพ คุณ Midnight_Gee จาก www.pantip.com