เผยวิสัยทัศน์แม่ทัพใหญ่ ‘Samsung’ กับการเป็นผู้นำสมาร์ตโฟน 5G ปี 2020 แบรนด์เดียวที่ตอบโจทย์ครบทุกความต้องการของคนไทย
ซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ ในฐานะผู้นำอันดับ 1 ตลาดสมาร์ตโฟน 5G ประเทศไทย ได้ให้ความสำคัญกับการต่อยอดประสบการณ์การใช้งานของลูกค้าให้ดียิ่งขึ้นอย่างเท่าเทียมกันด้วยการการเปิดตัวสมาร์ตโฟน 5G ในทุกเซกเมนต์เพื่อรองรับความต้องการที่แตกต่างกันของผู้ใช้งานไม่ว่าจะเป็นลักชูรี แฟลกชิป สมาร์ตโฟนระดับกลาง
และล่าสุดนี้ได้เปิดตัว Galaxy A42 5G สมาร์ตโฟนที่มาพร้อมกับความเร็วแรงเต็มพิกัดบนเครือข่าย 5G ที่จะเข้ามาเปลี่ยนประสบการณ์การสตรีมคอนเทนต์ เล่นเกม ไปจนถึงการดาวน์โหลดข้อมูลต่างๆ ได้รวดเร็วทันใจกว่าเคย
เปิดมุมมองของหนึ่งในผู้ขับเคลื่อนคนสำคัญ สุพัฒน์ ลายระยะพงศ์ หัวหน้ากลุ่มธุรกิจโทรคมนาคมและไอที บริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด ที่ทำให้ซัมซุงประเทศไทยครองตำแหน่งผู้นำอันดับหนึ่งสมาร์ตโฟน 5G พร้อมมีครบทุกระดับราคาเพื่อเติมเต็มความต้องการของผู้บริโภคมากที่สุดในประเทศ
“ซัมซุงอยู่ในฐานะของผู้นำของตลาดสมาร์ตโฟน 5G ตั้งแต่ครั้งแรกที่เริ่มวางจำหน่ายสมาร์ตโฟน 5G เชิงพาณิชย์รุ่นแรกในประเทศไทย ได้แก่ Galaxy S20 Ultra 5G เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา และยังคงครองความเป็นอันดับหนึ่งต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน ด้วยความหลากหลายของสมาร์ตโฟนที่มีครบทุกระดับราคาเพื่อรองรับความต้องการที่แตกต่างกันของผู้ใช้งาน
โดยในปีนี้ซัมซุงได้เปิดตัวสมาร์ตโฟน 5G มากถึง 5 รุ่น ตั้งแต่กลุ่มลักชูรี่สมาร์ตโฟนอย่าง Galaxy Z Fold 2 แฟลกชิปสมาร์ตโฟนอย่าง Galaxy S20 Ultra 5G และ Galaxy Note20 Series ที่รองรับ 5G ซึ่งกลายเป็นสินค้าที่ได้รับการตอบรับจากตลาดดีที่สุด ยังมีสมาร์ตโฟนระดับกลางอย่าง Galaxy A71 5G
รวมถึงล่าสุดกับการเปิดตัว Galaxy A42 5G สมาร์ตโฟนที่รองรับเทคโนโลยี 5G ประสิทธิภาพสูง ในราคาเข้าถึงง่ายที่สุดเพียง 11,990 บาท รวมถึงรุ่นอื่นที่จะตามมาอีกในอนาคตอันใกล้ เรียกได้ว่าครบทุกความต้องการของตลาดอย่างแท้จริง”
ขับเคลื่อนสมาร์ตโฟน 5G คว้าส่วนแบ่งตลาดกว่า 50%
“ปัจจุบันซัมซุงมีส่วนแบ่งทางการตลาดกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ของสมาร์ตโฟน 5G ทั้งหมดในประเทศไทย พร้อมคาดการณ์ว่าภายในระยะเวลา 5 ปีต่อไป ปริมาณการขายสมาร์ตโฟน 5G จะเติบโตขึ้นถึง 30 เท่าเมื่อเทียบตัวเลขปัจจุบัน ไม่เพียงเท่านั้น 50 เปอร์เซ็นต์ของสมาร์ตโฟนในตลาดประเทศไทยจะถูกเปลี่ยนเป็นเครื่องที่รองรับ 5G อีกด้วย”
เหตุผลของการเติบโตอย่างมีนัยยะสำคัญดังกล่าวมาจากรูปแบบเศรษฐกิจมหภาคที่รัฐบาลและผู้ให้บริการเครือข่ายมีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาเทคโนโลยี 5G เพื่อให้คนไทยได้รับประสบการณ์การใช้งานรูปแบบใหม่ที่เร็วขึ้นกว่าเดิม
โดยปัจจุบันนี้ เครือข่ายสัญญาณ 5G มีให้บริการแล้วในกรุงเทพฯ และเขตปริมณฑล พร้อมกำลังเดินหน้าขยายไปสู่หัวเมืองและจังหวัดอื่นๆ ทั่วประเทศ โดยซัมซุงได้เตรียมความพร้อมร่วมกับผู้ให้บริการเครือข่ายทุกรายเพื่อให้การส่งมอบเครื่องแก่ลูกค้าเป็นไปอย่างราบรื่น
โดดเด่นด้วยฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ พร้อมประสบการณ์การใช้งานสมาร์ตโฟน
สุพัฒน์ ยังได้เผยถึงกลยุทธ์ต่ออีกว่า “ซัมซุงมีวิธีคิดด้านการทำงานที่แตกต่าง เราเชื่อว่าสมาร์ตโฟนทุกรุ่น ทั้งระดับแฟลกชิปหรือระดับกลาง คุณภาพฮาร์ดแวร์ต้องเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นกล้อง ชิปเซ็ต หน้าจอ และแบตเตอรี่ที่เรียกได้ว่าเป็น Best in Class ในอุตสาหกรรมนี้
รวมถึงซอฟต์แวร์ที่ได้รับการพัฒนามาจากศูนย์วิจัยปัญญาประดิษฐ์ของซัมซุง (Samsung Advanced Institute of Technology) ซึ่งเมื่อผสานกับเทคโนโลยี 5G จะทำให้สมาร์ตโฟนซัมซุง ทุกเครื่องสามารถเป็น AI ที่เรียนรู้และประมวลผลตามพฤติกรรมของผู้ใช้ พร้อมพัฒนาระบบให้ตอบโจทย์การใช้งานของผู้ใช้แต่ละคนมากยิ่งขึ้น”
ไม่เพียงเท่านั้น ซัมซุงยังให้ความสำคัญกับการสร้างประสบการณ์ที่ดีแก่ลูกค้า ตั้งแต่ขั้นตอนการตัดสินใจเลือกซื้อสินค้า ผ่าน Samsung Experience Store กว่า 100 สาขาทั่วประเทศ ซึ่งนับเป็นจำนวนสมาร์ตโฟนแบรนด์ช้อปที่มากที่สุดในประเทศไทย
โดยลูกค้าสามารถเข้าไปทดลองอุปกรณ์ที่สนใจพร้อมมีผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำปรึกษาอย่างใกล้ชิด รวมถึงเมื่อลูกค้าได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของแบรนด์ซัมซุงแล้ว ลูกค้าจะได้รับสิทธิ์พิเศษในการใช้ YouTube Premium และบริการจาก Samsung Galaxy Gift ฟรี อีกทั้งเมื่อลูกค้าใช้งานในระยะเวลา 6 เดือนขึ้นไปก็จะได้รับสิทธิพิเศษในการซื้ออุปกรณ์เสริมต่าง รวมถึงสิทธิประโยชน์อื่นๆ จากผู้ให้บริการเครือข่ายและพาร์ทเนอร์ของซัมซุง
ทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์เพื่อเป็นทางเลือกให้ผู้บริโภค
จากความต้องการที่หลากหลายและแตกต่างของผู้บริโภคในประเทศไทย ทำให้สมาร์ตโฟน 5G ที่ลูกค้าสนใจไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะที่รุ่นแฟลกชิปเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมถึงสมาร์ตโฟนระดับกลางที่มีราคาเข้าถึงง่าย
ซึ่งจากการที่การใช้งานเครือข่าย 5G ในประเทศไทยยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นและกำลังขยายพื้นที่ให้บริการจากในกรุงเทพฯ ไปยังภูมิภาคต่างๆ ทำให้ซัมซุงต้องทำงานร่วมกับผู้ให้บริการเครือข่ายอย่างใกล้ชิด เพื่อเตรียมพร้อมในการจัดจำหน่ายสมาร์ตโฟน 5G ทันทีที่ผู้ให้บริการเครือข่ายรายนั้นเข้าไปติดตั้งสัญญาณ
“จากประสบการณ์การใช้งานจริงของผู้ใช้สมาร์ตโฟน 5G ที่ผ่านมา ทำให้เห็นถึงการเชื่อมต่อที่เร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งจะส่งผลให้ผู้ใช้งานคนอื่นยินดีที่จะเปลี่ยนมาใช้สมาร์ตโฟน 5G กันมากขึ้น จึงเป็นเหตุผลให้ซัมซุงรวมถึงผู้ให้บริการเครือข่าย ภาครัฐและพาร์ทเนอร์ทุกราย ได้ร่วมมือกันในการให้ข้อมูลกับประชาชนถึงความสำคัญของการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีจาก 4G ไปยัง 5G พร้อมตัวอย่างการใช้งานจริง
เพื่อให้ผู้ใช้ได้เห็นถึงประโยชน์ของ 5G อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น ยกตัวอย่าง การใช้ 4G จะสามารถดาวน์โหลดได้เฉลี่ย 150 เมกะบิตต่อ 1 วินาที แต่สัญญาณ 5G จะทำให้ดาวน์โหลดได้เร็วมากกว่าสูงสุดถึง 1 กิกะบิตต่อ 1 วินาที (หรือโดยเฉลี่ย 500 เมกะบิตต่อ 1 วินาที สำหรับความเร็วประทศไทยปัจจุบัน) ทำให้ไม่มีอาการติดขัดหรือกระตุกเมื่อต้องเชื่อมต่อเครื่องมือสื่อสารจำนวนมากในพื้นที่เดียวกัน” สุพัฒน์ กล่าว
เดินหน้าสานต่อภารกิจ 5G สู่อนาคต
“เราคาดหวังว่าในปี 2021 สมาร์ตโฟน 5G ของซัมซุงจะเติบโตขึ้นจากปีนี้ถึง 10 เท่าทั้งในเชิงมูลค่าและปริมาณ พร้อมกับยังคงครองตำแหน่งผู้นำอันดับหนึ่งไว้ได้โดยทิ้งห่างจากคู่แข่งแบบนี้ต่อไป เพราะเราเห็นแล้วว่าในปีนี้
ลูกค้าจำนวนถึง 2 ใน 3 เปลี่ยนมาเลือกซื้อสมาร์ตโฟนที่รองรับ 5G ดังนั้นหลังจากนี้ซัมซุงก็ยังมีความตั้งใจที่จะเปิดตัวสมาร์ตโฟน 5G ที่ครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์ เพื่อให้ผู้บริโภคทุกกลุ่มมีประสบการณ์ที่สมบูรณ์แบบที่สุดบนสมาร์ตโฟน 5G ของซัมซุง”
ทั้งนี้ สำหรับผู้ที่สนใจสมาร์ตโฟน 5G ทั้ง 5 รุ่นจากซัมซุง ที่รวมถึงรุ่นที่เปิดตัวล่าสุดอย่าง Galaxy A42 5G สมาร์ตโฟนสายพันธุ์สปีด แรงทุกสเปค ที่วางจำหน่ายในราคาเริ่มต้นเพียง 6,490 บาท สามารถเข้าไปเยี่ยมชมได้ที่ Samsung Experience Store, Samsung Online Store และผู้ให้บริการเครือข่าย หรือติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.samsung.com/th/smartphones/galaxy-a/galaxy-a42-5g-black-8-gb-sm-a426bzkhthl/
Leave a Reply