อุทาหรณ์ iPod หายอย่าคิดว่าจะได้คืนฟรีๆ ตอนจบพีคมาก!!!
สวัสดีค่ะเพื่อนๆ วันนี้เรามีกระทู้บทความเด็ดๆ มาฝากกันอีกเช่นเคย ล่าสุดเรียกได้ว่ากำลังเป็นประเด็นร้อนกันเลยก็ว่าได้สำหรับบทความ “อุทาหรณ์ของหายอย่าคิดว่าจะได้คืนฟรีๆ” ของคุณสมาชิกหมายเลข 988122 จาก Pantip.com ซึ่งในกระทู้ดังกล่าวเจ้าของกระทู้ได้มาแชร์ประสบการณ์ที่ตนเองได้ทำ iPod หายไปเมื่อ 1-2 ปีก่อน
โดยเจ้าของกระทู้ได้ตั้งระบบไว้หากใครเปิดเครื่องจะโชว์ข้อความว่าให้ติดต่อกลับที่เบอร์โทรนี้ๆ จนกระทั่งเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี้มีผู้ติดต่อเข้ามาสอบถามว่าเจ้าของกระทู้เป็นเจ้าของเครื่องจริงหรือไม่ พร้อมกับแอดเฟชบุ๊กเพื่อติดต่อเจรจาขอเครื่องคืน เมื่อทางฝ่ายนู้นถ่ายรูปตัวเครื่องกับหน้าจอมาให้ดู ปรากฏว่าใช่ iPod ของเจ้าของกระทู้จริงๆ
และเพื่อให้แน่ใจเจ้าของกระทู้ได้เปิดใช้งานแอพฯ Find My iPhone พบว่าเครื่องอยู่แถวสวนหลวงเหมือนตอนที่บุคคลดังกล่าวโทรมาคุยมันออนไลน์ สุดท้ายแล้วบุคคลนี้เรียกเงินจากเจ้าของกระทู้เพื่้อเป็นค่าไถ่ตัว iPod แต่เจ้าของกระทู้ติดใจไม่ให้ ยิ่งไปกว่านั้นบุคคลที่ว่ากลับมาขอรหัสเพื่อปลดล็อคเครื่องกับทางเจ้าของกระทู้ซะงั้น และต้องบอกเลยว่าตอนจบของเรื่องนี้พีคมาก เราไปชมบทความนี้กันเลยค่ะ
เรื่องนี้เราอยากให้เป็นอุทาหรณ์สอนใจทุกคนนะคะว่าเวลาของหายแล้วมีคนเก็บได้ อย่าคิดว่าจะได้คืนฟรีๆ ทั้งที่มันเป็นของเรา (ซึ่งเราคงผิดเองแหละค่ะที่ดันทำหาย) เรื่องมันมีอยู่ว่าเรามี iPod อยู่เครื่องหนึ่งค่ะ ทำหายไปน่าจะประมาณ 1-2 ปี ตอนนั้นคิดไม่ออกว่าไปทำหายที่ไหนเลยเข้าแอพฯ Find My iPhone ปรากฎว่าเครื่องมันปิดไว้หาไม่เจอ
ก็เลยตั้งระบบไว้ว่าถ้าใครเปิดเครื่องขึ้นมาให้หน้าจอโชว์ข้อความว่า iPod เครื่องนี้สูญหายให้ติดต่อกลับที่เบอร์ เราก็รอค่ะจนคิดแล้วว่าคงไม่มีทางได้คืนแน่ๆ แต่ปรากฎว่าวันนี้สดๆ ร้อนๆ เลยมีคนโทรมาว่าเราใช่เจ้าของเครื่องรึเปล่าตอนแรกเราก็งงค่ะ ตกใจไม่คิดว่าจะมีคนหาเจอเลยบอกให้เขาแอดเฟชบุ๊กแล้วก็ถ่ายรูปตัวเครื่องกับหน้าจอมาให้ดู
ปรากฎว่าเป็นเครื่องเราค่ะเพื่อความแน่ใจอีกขั้นเราเลยเข้าไปในแอพฯ Find My iPhone ปรากฎว่าเครื่องเราอยู่แถวๆ สวนหลวงเหมือนตอนที่เขาโทรมาคุยมันออนไลน์อยู่ด้วยค่ะ ก็เลยจัดการแคปที่อยู่เอาไว้เผื่อว่าต้องไปรับเครื่องที่บ้านเขา ตอนแรกเราก็คิดว่าคงได้ของคืนแล้วล่ะเลยทำการนัดเจอกับเขาอีกครั้งเพื่อทำการรับของ
มันเริ่มมาแปลกๆ ตอนที่เขาบอกว่าไม่มีค่ารถเราเลยคิดว่าเขาน่าจะต้องการเงิน เราเลยเสนอไปว่าจะออกค่ารถให้เขาก็ได้เพราะอยากได้ของคืนจริงๆแต่ว่าฝ่ายนู้นเขาขอไปถามแม่ก่อน แล้วเขาก็หายไปนานมากเราเลยเริ่มรู้สึกแปลกๆ ก็เลยแคปที่อยู่น้องเขาใน Find My iPhone เอาไว้อีกครั้งแต่ว่าครั้งนี้เขากลับปิดเครื่องไอพอดเรา เราเลยโทรกลับไปอีกครั้งเขาก็ปิดเครื่อง บอกว่าแบตเตอรี่หมดตามแชทที่แคปมา
คือเราไม่ได้มีเงินมากขนาดนั้นเป็นนักศึกษาเพิ่งจบก็เลยว่าจะให้สินน้ำใจเขา เราก็คิดว่ามันน่าจะจบที่ตรงนั้นแต่เขาก็เรียกเราเพิ่มขึ้น เราเลยปรึกษากับที่บ้าน ที่บ้านเลยบอกว่ามันดูแปลกๆ ไม่น่าไว้ใจถ้าหากว่าเราตกลงจ่ายเงินให้เขาแล้วไปนัดรับของ แต่เขาไม่ได้มาคนเดียวหรือมีอะไรตุกติกขึ้นมา มันจะได้ไม่คุ้มเสีย เราก็เลยบอกเขาว่าไม่เอาแล้วก็ได้เพราะดูท่าเขาก็คงจะไม่อยากคืนให้เราเท่าไหร่
แต่สุดท้ายเขาก็ดันมาขอรหัสเรา เหมือนจะให้เรายกเครื่องให้เขาฟรีๆ ละกัน ซึ่งต้องใช้ความกล้ามากแค่ไหนเหรอถึงจะขอรหัสเพื่อปลดล็อคเครื่อง ขนาดเราบอกว่าจะเอาไปแจ้งตำรวจเขาก็ยังบอกว่าเชิญตามสบายเราไม่ได้อยากให้มันเป็นเรื่องใหญ่โตอะไรนะคะ คิดตัดใจแล้วว่าหายคือหายละกันแต่พอมาเจอประโยคนั้นเข้าไปเราเลยรวบรวมหลักฐานทุกอย่างเอาไว้เพื่อเอาไปแจ้งความค่ะ
คิดว่าคงทำได้เท่านี้ ส่วนของจะได้คืนหรือไม่ก็สุดแล้วแต่มันจะเป็นไป ที่เอามาเล่าคืออยากให้ทุกคนไว้ใช้เป็นอุทาหรณ์ว่าของๆ เรา เราต้องรักษาให้ดี อย่าทำหาย อย่าทำหล่น อย่าสะเพร่า เพราะการที่จะเจอคนใจดียอมคืนให้เราง่ายๆ นั้นมันแทบเป็นไปไม่ได้เลย ปล. ล่าสุดฝ่ายนู้นเขาลบแชทในเฟชบุ๊กที่คุยกันไว้ด้วยค่ะ
ล่าสุดทางเจ้าของกระทู้ได้มาอัพเดทข้อมูลเพิ่มเติมดังนี้ อัพเดทสถานการณ์นะคะวันนี้หลังจากเราตามประวัติจากในเฟสของคนที่แชทด้วยแล้วตามไปที่โรงเรียน คือมีคนเก็บ iPod เราได้แล้วก็โทรมาขอเงินกับเราเพื่อให้เราไถ่ค่าตัวของของเราคืน ด้วยความโมโหเราเลยรวบรวมข้อมูลหลักฐานทุกอย่าง
รู้ยันโรงเรียนของคนที่เราคุยเเชทด้วยแล้วไปที่สถานีตำรวจ ทางสถานีตำรวจคลองหลวงเลยให้คำแนะนำว่าให้เข้าไปคุยกับตัวเด็กคนนี้ที่โรงเรียนก่อนเพราะว่าน้องเขายังดูเด็กไม่อยากให้มีเรื่องต้องขึ้นโรงขึ้นศาล เรากับพี่เลยขับรถไปเลยค่ะ ไปตามหาตัวเด็กคนนี้พร้อมกับรายงานเรื่องให้ผู้อำนวยการทราบ ทางโรงเรียนเลยให้ความร่วมมือด้วยการตามเด็กมาพร้อมสอบสวนว่าเด็กคนนี้ได้ทำจริงอย่างที่เรากล่าวอ้างรึเปล่า
ซึ่งเด็กคนนี้ก็ยอมรับว่าเป็นคนพิมพ์จริงแต่ว่าโดนน้าข้างบ้านสั่งให้พิมพ์ โดยการยืมเฟสบุ๊กของเด็กคนนี้ในการคุยกับเรา เราคิดว่าเด็กอาจจะโกหกหรือไม่โกหกก็ได้แต่น้องรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เเละได้เขียนแผนที่บ้านเขียนคำยอมรับสารภาพว่ามีคนเอาเฟชบุ๊กของน้องไปใช้จริง เราเลยเดินทางจากโรงเรียนเพื่อไปสถานีตำรวจเพื่อขอความช่วยเหลือว่าจะบุกไปที่บ้านของเขาเพื่อขอของเราคืน
ตำรวจไม่แนะนำเพราะว่าเรายังไม่มีหมายค้น เเละยังไม่รู้จักหน้าของคนที่เอาของของเราไปแล้วไม่ยอมคืน เลยให้คำแนะนำไปที่สถานีตำรวจในเขตที่เราทำหายเราก็ไปทำเรื่องที่อีกเขต และทางตำรวจก็ได้เข้ามาพูดไกล่เกลี่ยให้ว่าเราพร้อมจ่ายในส่วนเงิน 2 พันบาท เรียกค่าไถ่ตัว iPod เรามา ฝ่ายนั้นเลยตกลงว่าจะไปนัดเจอกับเราที่ซีคอนฯ ตอนเวลาสี่โมงเย็น
คือทางตำรวจเขามีสองทางเลือกให้เราค่ะคือเราจะยอมจ่ายเงินแล้วได้ของคืน หรือเราจะดักล่อเขาให้กล้องวงจรปิดที่ซีคอนจับได้ แล้วออกหมายจับดำเนินคดี ซึ่งเราคิดว่ามันไม่คุ้มกับความปลอดภัยของเราในจุดนี้ เพราะตำรวจไม่ได้ไปเป็นเพื่อนเราด้วยเราเลยคิดว่าจะตัดใจเเล้วไม่เอาของละ แต่ไม่รู้อีท่าไหนจู่ๆ เขาก็โทรกลับมาพร้อมกับสารภาพว่าเบอร์โทรศัพท์ที่โทรเข้ามาแจ้งเรื่อง iPod หายนั้นเป็นของคนอื่นที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
เธอเป็นคนที่พักอาศัยอยู่ชั้นบนของบ้าน เเละให้ยืมโทรศัพท์ในการโทรเท่านั้น โดยคิดอัตราค่าบริการเป็นนาที ซึ่งคนร้ายจริงๆ คือคู่ชายหญิงสองคนที่พักอาศัยอยู่ด้านล่างของเธอ เจ้าของเบอร์โทรศัพท์รู้ว่าเรื่องถึงหูตำรวจเเล้วเลยรีบร้อนบอกจะส่งของคืนให้เราพร้อมกับจะเเจ้งเลขพัสดุ ถ้าเราอยากโอนเงินให้เขาเป็นค่าสินน้ำใจ ให้โอนเงินเข้าบัญชีของคนที่เก็บได้ จะให้เท่าไหร่ก็ได้ เราก็เลยโอเค ถ้าตกลงแบบนี้ก็จบไปแต่แรกแล้ว
ก็จัดการลงบันทึกประจำวันแจ้งความเอาไว้กับทางตำรวจเเล้วก็เดินทางกลับบ้านเพราะว่าเหนื่อยมากแล้ว ทีนี้ทางนั้นก็จัดการส่งของให้พร้อมกับถ่ายรูปพัสดุเเละเเทรคเลข EMS เราเลยบอกกับเจ้าของโทรศัพท์ว่าถ้าของมาถึงมือเราเเล้ว เดี๋ยวเราจะโอนเงินไปให้ขอเลขบัญชีด้วย ทุกอย่างก็ดูเหมือนจะโอเคจบอยู่ที่ตรงนั้น แต่ไม่ค่ะ!!!
เพราะเมื่อสักครู่ตอนเวลา 18.40 น. เบอร์เดิมก็โทรมาอีกพร้อมกับเสียงผู้ชายที่โวยวายว่าไหนเงิน ทำไมไม่โอนเข้า เราเลยอธิบายให้เขาฟังว่าเนี่ยรอของมาถึงมือเราก่อน ดูว่าสภาพมันครบมั้ยมีความเสียหายอะไรรึเปล่า ถ้ามันไม่มีเราก็พร้อมจะโอนเงินให้เขาเป็นค่าสินน้ำใจในการเก็บของได้ แต่เสียงของผู้ชายที่อยู่ภายนอกก็ดังสวนขึ้นมาว่าแบบนี้แหละคนเราไม่เอาแล้วก็ได้เงินน่ะ ของส่งไปให้แล้วก็เป็นแบบนี้แหละสันดาน
เราถูกด่า? กับการที่เราทวงของของเราคืนมันถูกต้องแล้วเหรอ เราอุตส่าห์ไม่ติดใจเอาความอะไรแล้วจะให้เงินเป็นค่าตอบแทนเขา แต่เขาก็มาโวยวาย ตะคอกขึ้นเสียงแทรกใส่ในโทรศัพท์ แล้วถามจริงๆ เถอะนะใครที่อยากจะโอนเงินเข้าบัญชีให้คุณ ใครที่อยากจะขอบคุณในน้ำใจของคุณ ในเมื่อเจตนาของคุณมันส่อได้ชัดเจนขนาดนี้
เราไม่แน่ใจเลยว่ายังจะโอนเงินให้เขาเป็นค่าสินน้ำใจอยู่อีกมั้ย แล้วเราก็ไม่มั่นใจเลยด้วยว่าของของเรามันจะมาถึงในสภาพครบสมบูรณ์รึเปล่าเรากลายเป็นคนที่ผิด กลายเป็นคนเห็นแก่ตัวไม่มีน้ำใจเพียงเพราะเราตามหาของของเราคืน เราเองก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงต่อแล้วเหนื่อยมาก เสียทั้งสุขภาพจิต เสียทั้งเวลา เสียทั้งความรู้สึก พูดตรงๆ ป.ล. ต้องขอบคุณทางอาจารย์ และเจ้าหน้าที่ทุกคนที่ให้คำแนะนำอย่างดีด้วยนะคะ
ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพ คุณสมาชิกหมายเลข 988122 จาก www.pantip.com
Leave a Reply