สรุปข้อมูลในงาน WWDC 2016 เปิดตัว iOS10, macOS Sierra, WatchOS 3 และ tvOS

สรุปข้อมูลในงาน WWDC 2016 เปิดตัว iOS10, macOS Sierra, WatchOS 3 และ tvOS

ก็ผ่านไปแล้วสำหรับงาน World Wide Developers Conference (WWDC) 2016 งานที่รวมเหล่านักพัฒนาจากทั่วโลกที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 13 มิถุนายนที่ผ่านมา งานเริ่มต้นอย่างเป็นทางการในเวลา 10.30 น. เมื่อ Tim Cook ซีอีโอของ Apple ได้เปิดเวทีด้วยการแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์โศกนาฏกรรมในออแลนโดและผู้มาร่วมงานในครั้งนี้ต่างยืนสงบนิ่งเป็นการไว้อาลัยแก่ผู้เสียชีวิต ก่อนจะเอ่ยถึงทุนสำหรับนักพัฒนารุ่นใหม่จำนวน 350 ทุน

และ Tim Cook ได้เผยถึงสถิติที่น่าสนใจของ App Store ว่าในปัจจุบันแอพพลิเคชั่นมากกว่า 2 ล้านแอพฯ ที่มีการถูกดาวน์โหลดไปแล้วกว่า 130,000 ล้านครั้ง และในครั้งนี้ Apple ก็ได้มอบเงินมากกว่า 50,000 ล้านเหรียญสหรัฐตอบแทนให้กับนักพัฒนาอีกด้วย และในงานยังได้มีการเปิดตัวสิ่งใหม่ๆ ที่น่าสนใจโดยใช้คอนเซ็ปต์ Continuity (ความต่อเนื่อง) เราไปชมกันเลยค่ะว่ามีอะไรใหม่ๆ บ้าง

iOS10

– หน้าจอ Lock Screen  มี UI ที่ดูดีและเรียบง่ายยิ่งขึ้น เมื่อปัดนิ้วไปทางซ้ายเพื่อใช้งานในส่วนของวิดเจ็ตสามารถเพิ่มลดได้ตามต้องการ และเมื่อปัดนิ้วไปทางขวาจะเป็นการเปิดกล้อง และ 3D Touch ถูกนำมาใช้ตอบสนองการแจ้งเตือนต่างๆ มากขึ้น Control Center ที่ใช้งานง่ายขึ้น และผู้ใช้งานไม่ต้องกดปุ่ม Wake เพื่อปลุกหน้าจออีกต่อไป เพียงแต่ยกเครื่องขึ้นมาหน้าจอก็สว่างขึ้นทันที

Siri  ทาง Apple ได้เปิดให้นักพัฒนาสามารถใช้งาน Siri กับแอพพลิเคชั่นต่างๆ ได้ และ Siri ฉลาดขึ้นสามารถเรียนรู้และจดจำสิ่งต่างๆ ได้

– Photo  สามารถจดจำและระบุใบหน้าของแต่ละบุคคลใน Gallery ของเราได้ สามารถจำแนกได้ว่าแต่ละรูปมีองค์ประกอบอะไรบ้าง เช่น แม่น้ำ ภูเขาด้วย ค้นหารูปได้ง่ายขึ้น สะดวกขึ้น โดยจะรวมรูปภาพต่าง ๆ ที่มีความเกี่ยวข้องกันมาไว้ด้วยกัน และเก็บข้อมูลต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ผู้คน สถานที่ เข้าไว้ด้วยกัน และจัดทำเป็นวิดีโอได้โดยอัตโนมัติ

– Maps  ผู้ใช้งานสามารถปัดจากข้างล่างขึ้นข้างบนเพื่อดูสถานที่แนะนำได้ มีการโชว์ทิศทางเสมือนจริงทั้งยังโชว์สถานที่ต่าง ๆ ในขณะที่กำลังนำทางเรา รวมไปถึง Apple ได้เปิดให้นักพัฒนาสามารถใช้ Maps ร่วมกับแอปพลิเคชั่นอื่นๆ ได้อีกด้วย

– Apple Music  มีการปรับเปลี่ยน User Interface ให้ดูสะอาดตาขึ้น ปรับโทนสีตัวอักษรให้อ่านได้ชัดเจนขึ้น สามารถดูเนื้อเพลงได้แล้วเพียงปัดหน้าจอขึ้น มีแท็บดาวน์โหลด music แยกออกมาต่างหาก และมีการย้ายแท็บ Library มาไว้หน้าแรกสุด ทำให้เข้าถึง playlist ของเราได้ง่ายขึ้น

– Apple News  สามารถเข้าถึงข่าวสารได้ง่ายขึ้น มีการแจ้งเตือนข่าวด่วนขึ้นมาในหน้า lockscreen แบบโฉมใหม่หน้าตาเหมือนหนังสือพิมพ์ใน iPad

– Homekit  แยกออกมาเป็นแอพพลิเคชั่นที่ควบคุมการทำงานต่างๆ ของอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน ผ่านเครื่อง iPhone ที่ทำงานเปรียบเสมือนรีโมท และสามารถเช็คกล้องวงจรปิดที่อยู่หน้าบ้านได้ โดยสามารถเข้าถึงได้ง่าย ๆ ที่ control center

– Phone  สามารถเปลี่ยนเสียงที่คนฝากข้อความมาให้กลายเป็นตัวอักษรได้ ป้องกันสแปมโทรมาโดยเฉพาะในประเทศจีน หน้าตาของ contact card เปลี่ยนแปลงใหม่ และมี VoIP API ทำให้แอพพลิเคชั่นต่างๆ เช่น LINE, Whatsapp มีหน้าตาเหมือนสายโทรเข้าปกติ ดูกลมกลืนกับ User Interface ของ iOS

– iMessage  โชว์พรีวิวลิงค์, วิดีโอ และสามารถเล่นวิดีโอได้ในหน้านั้นได้เลย สามารถ ส่งรูปใน iMessage ได้สะดวกขึ้น ไม่ต้องกดเข้าไปเลือกรูปให้ลำบาก ตัวอีโมจิใหญ่ขึ้น 3 เท่า และระบบเดาคำสามารถดึงอีโมจิมาใช้ได้เลย ผู้ใช้งานสามารถส่งข้อความและใส่เอฟเฟกต์ต่างๆ เพื่อแสดงอารมณ์ของข้อความแต่ละข้อความที่เราส่งไปได้

สามารถส่งรูปภาพหรือข้อความแบบลับๆ โดยต้องกดก่อนถึงจะเปิดออกมาได้ มีสติ๊กเกอร์และ App store สำหรับ iMessage สามารถขีดเส้นลากเปรียบเสมือนการเขียนด้วยปากกาได้ สามารถส่ง emoticon ตอบกลับข้อความที่เพื่อนส่งมาได้ และมี Digital Touch เหมือนใน Apple Watch เลือกแถบสี วาดเส้น จากนั้นก็จะส่งให้เพื่อนไปแบบ gif

– QuickType  ในส่วนของ Intelligent suggestions ยกตัวอย่างเช่นเมื่อมีคน text มาถามเราว่า อยู่ที่ไหน? ก็จะมีแท็บขึ้นมาให้ส่งโลเคชั่นไปหาบุคคลนั้น ๆ, หรือหากเพื่อนถามถึงที่อยู่ของเพื่อนอีกคนที่อยู่ใน contact ของเราก็สามารถส่งให้ได้ง่ายๆ และ Multilingual typing : ที่สามารถพิมพ์สองภาษาได้ในเวลาเดียวกันโดยที่ไม่ต้องกดเปลี่ยนคีย์บอร์ดให้ยุ่งยาก

สำหรับ iOS 10 นั้น รองรับ iPhone 5 ขึ้นไป, iPad mini ทุกรุ่น, iPad 2 ขึ้นไป, iPad Air, iPad Air 2 และ iPad Pro ทุกรุ่น รวมถึง iPod touch 5, 6  โดย iOS 10 ตัวเต็ม จะปล่อยให้อัพเดตได้ใช้กันในช่วงเดือนกันยายนนี้

macOS Sierra

– Auto Unlock  หากเราอยู่ใกล้ ๆ กับอุปกรณ์ Mac ของเรา สามารถปลดล็อคได้ง่าย ๆ ผ่าน Apple Watch ไม่ต้องใส่ password ให้เสียเวลา

– Universal Clipboard  copy และวาง ผ่าน Mac ไปยัง iOS ได้

– iCloud  นำข้อมูลเก่า ๆ เก็บไว้บน cloud โดยอัตโนมัติ ซึ่งช่วยประหยัดเนื้อที่บนอุปกรณ์ Mac

– Apple Pay  รองรับการใช้งานบน Safari โดยสามารถยืนยันตัวตนได้ผ่าน Touch ID บน iPhone, รองรับการใช้งานในประเทศสหรัฐอเมริกา, สหราชอาณาจักร, แคนาดา, ฝรั่งเศส, สวิตเซอร์แลนด์, ออสเตรเลีย, จีน, สิงคโปร์ และ ฮ่องกง

– Siri   มีให้ใช้งานบนอุปกรณ์ Mac แล้ว โดย Siri จะอยู่ที่ dock และบน menu bar โดย Siri สามารถโชว์ไฟล์ใน finder, เปิดเพลงจาก Apple Music ได้, ส่งข้อความได้

โดย macOS Sierra ตัวทดลองจะเปิดให้ดาวน์โหลดในเดือนกรกฎาคมนี้ ส่วนตัวเต็มจะมาในเดือนกันยายน

WatchOS 3

โดยรวมแล้ว เป็นการปรับเปลี่ยน User Experience ให้ใช้งานได้เรียบง่ายและง่ายขึ้น

– Background memory  ช่วยให้ข้อมูลในแอปพลิเคชั่นต่าง ๆ เช่น Fitness อัปเดตใหม่อยู่ตลอดเวลา นั่นหมายความว่า เวลาเปิดแอปพลิเคชั่นอะไรขึ้นมา ก็สามารถประมวผลได้เร็วขึ้นกว่าเดิมถึง 7 เท่า เพราะไม่ต้องรอโหลดข้อมูลนั่นเองครับ

– Dock  เข้ามาแทนที่ User Interface แบบเก่า ช่วยให้แสดงผลได้เร็วและสะดวกขึ้น

– Control center  ลากจากข้างล่างขึ้นมา (เหมือนใน iPhone) ทำให้เราสามารถเปิดปิดฟังก์ชั่นต่าง ๆ ใน iPhone ได้ ผ่านทาง Apple Watch

– ปรับเปลี่ยนรูปแบบการตอบข้อความแบบใหม่  โดยเราสามารถเซฟข้อความที่เราใช้บ่อย ๆ ไว้ได้ และสามารถดึงข้อความเหล่านั้นมาใช้งานได้ทันที รวมถึง “Scribble” ที่เราสามารถวาดตัวอักษรลงไปบนจอเพื่อพิมพ์ได้ โดยรองรับทั้งภาษาอังกฤษและภาษาจีน

– Watches face  สามารถเข้าถึงหน้าต่าง ๆ ของ watch ได้ เพียงแค่ปัดซ้ายปัดขวา ไม่จำเป็นต้องใช้ side button อีกต่อไป สามารถเลือกหน้าที่เราชอบได้เอง

– Reminders และ Find Friends  ถูกเพิ่มเข้ามาใน watchOS 3

– SOS  กดที่ปุ่ม side button ค้างไว้ เผื่อขอความช่วยเหลือจาก 911 โดยจะสามารถทำงานได้ก็ต่อเชื่อมต่อกับ WiFi หรือโทรศัพท์มือถือเท่านั้น

– แอพ Workout โฉมใหม่  เน้นในเรื่องของการแชร์ข้อมูลสถิติเกี่ยวกับการออกกำลังกายกับเพื่อน ๆ และคนในครอบครัว

– Apple เริ่มหันมาสนใจกับผู้ใช้งาน Apple Watch ที่ใช้ wheelchair  ซึ่งจะช่วยในเรื่องของกายภาพบำบัดให้กับผู้ใช้งาน รวมถึงคนพิการที่ใช้ wheelchair เป็นปกติประจำวัน

– Breathe  แอพพลิเคชั่นใหม่ที่จะช่วยให้ผู้ใช้งานผ่อนคลายจากความเครียดประจำวัน ซึ่งเราสามารถตั้งค่าการแจ้งเตือนได้ ว่าให้เราสูดหายใจตอนไหน นานเท่าไร

– รองรับ Apple Pay  ใน 3rd party apps

– เปิดให้นักพัฒนาสามารถทำเกมสำหรับ Apple Watch ได้แล้ว และสามารถใช้ลำโพงได้โดยตรงจาก Apple Watch

โดย watchOS 3 ตัว Developer preview สามารถอัปเดตได้ตั้งแต่วันนี้ แต่ตัวเต็มสมบูรณ์สำหรับผู้ใช้งานทั่ว ๆ ไป จะมาในช่วงเดือนกันยายน

tvOS

– Remote app  สามารถใช้ iPhone ควบคุม Apple TV ได้

– Siri บน tvOS ฉลาดขึ้น  สามารถค้นหาภาพยนตร์ต่าง ๆ ได้ โดยบอกลักษณะหรือประเภทที่เฉพาะเจาะจง เช่น “find highschool comedies – from 80’s” และสามารถค้นหาบนยูทูปได้แล้ว

– Live Tune-in  สามารถเรียกดูรายการที่ต้องการได้ทันที แค่เพียงบอก Siri

โดย tvOS จะปล่อยให้อัพเดตกันในช่วงเดือนกันยายนนี้

ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพ www.maccomseven.com