ทันทีที่ Samsung Galaxy Note5 เปิดตัวสู่สาธารณชน หลายคนได้ทดลองใช้งานใน Samsung Brand Shop แล้วมีความคิดว่า ปากกา S Pen ไม่จำเป็นกับชีวิตประจำวัน แต่ชอบกล้องถ่ายภาพของ Galaxy N0te5 ส่วน Galaxy S6 edge ตอบโจทย์ครบทุกอย่างที่ต้องการ แต่หน้าจอเล็กไปหน่อย จะเป็นไปได้หรือไม่ที่จะมีอีกรุ่น ที่ได้จอโค้งอย่าง Galaxy S6 edge แต่ขยายจอให้ใหญ่ขึ้นเท่า Galaxy Note5 ไม่เอาปากกา S Pen แต่อยากได้กล้องที่ยอดเยี่ยมของ Galaxy Note5
Samsung จึงจัดส่วนผสมที่ลงตัว สมบูรณ์แบบ ไม่มีอะไรขาด ๆ เกิน ๆ ครบทุกอย่างตามที่ต้องการ กลายเป็นรุ่นใหม่ล่าสุด Galaxy S6 edge+ (มีเครื่องหมายบวกต่อท้าย) ซึ่งมีให้เลือกสองสี สีทองและสีเงิน ซึ่งเป็นสีที่ขายดีทั้งคู่ มาพร้อมกับกับความจุ 32GB ที่เพียงพอกับการใช้งาน ในราคาเปิดตัว 29,900 บาท แล้วลดลงมาเหลือ 26,900 บาทตั้งแต่ยังไม่เริ่มจำหน่าย ซึ่งราคา 26,900 บาทเป็นราคาที่ดูสมเหตุสมผลที่สุดแล้ว ซัมซุงจึงเลือกจำหน่ายที่ราคานี้ทันทีตั้งแต่วันแรก ใกล้เคียงกับ Galaxy Note5 แต่กลุ่มเป้าหมายของทั้งสองรุ่นนี้ แตกต่างกันชัดเจน
ในบทความรีวิวนี้ เป็นการรีวิว Samsung Galaxy S6 edge+ สีทอง เป็นสียอดนิยมของคนไทยในยุคนี้ ที่ให้ความรู้สึกหรูหรามีฐานะ โดยทดสอบใช้งานจริงเป็นเวลา 6 สัปดาห์เต็ม ไม่ได้ทดสอบกันแค่ผิวเผิน
ขนาดของตัวเครื่อง ใหญ่และหนักกว่า Galaxy S6 edge แต่ก็ยังถือและพกพาได้โดยไม่รู้สึกว่าเทอะทะหรือถือลำบากแต่อย่างไร ใส่ในกระเป๋ากางเกงยีนส์แบบรัดรูป ตัวเครื่องอาจจะโผล่เล็กน้อย เพราะขนาดตัวเครื่องที่ใหญ่ใกล้เคียงกับ Galaxy Note5
จากสเปค แสดงให้เห็นว่า Galaxy S6 edge+ มีขนาดหน้าจอ 5.7 นิ้ว, RAM 4GB, กล้องเพิ่มลูกเล่นในการปรับ Speed Shutter ได้เหมือน Galaxy Note5, และสุดท้ายแบตเตอรี่ เพิ่มความจุเป็น 3000mAh ทั้งหมดนี้ทำให้ใช้งานได้ลื่นไหลดียิ่งขึ้น เล่นเกมที่ภาพสวย ๆ ได้สบาย แบตเตอรี่อึดกว่าเดิม และมีลูกเล่นในการถ่ายภาพมากกว่า Galaxy S6 / S6 edge ส่วนสเปคในจุดอื่น ๆ ก็ไม่ต่างกัน
ในการทดสอบใช้งาน ได้ใช้ Galaxy S6 edge+ เป็นเครื่องหลักเพียงเครื่องเดียวในชีวิตประจำวัน ใช้ธีมและภาพพื้นหลังที่เป็นสีดำหรือโทนมืด เพื่อให้ประหยัดพลังงาน ใช้ facebook, LINE, Instagram, Twitter และถ่ายภาพค่อนข้างมากในแต่ละวัน เพื่อใช้ลักษณะการใช้งานใกล้เคียงกับชีวิตคนเมืองทั่วไป ที่ใช้งานทั้งการติดต่อสื่อสารและความบันเทิง มีดู Youtube หรือฟังเพลงบ้างเท่าที่พอมีเวลาว่าง
หน้าจอโค้งลงทั้งขอบด้านซ้ายและขวา ดูสวยทันสมัย ไม่มีปัญหาในการแสดงภาพและใช้คีย์บอร์ดเลย ตรงขอบจอก็สามารถสัมผัสสั่งงานได้ดีตามปกติ ไม่ต้องจิ้มแรงเป็นพิเศษ ไม่มีปัญหาว่าจะสัมผัสติดบ้างไม่ติดบ้าง ถือว่าระบบสัมผัสจอภาพ ทำได้ดีมาก แม่นยำและภาพก็สีสวยสดใสเป็นธรรมชาติ ไม่จัดจ้านจนผิดเพี้ยนอย่างจอภาพ AMOLED รุ่นแรก ๆ ในอดีต
ขอบตัวเครื่องไม่คมบาดนิ้วเท่าไร เท่าที่ใช้งานมานานโดยไม่ติดฟิล์มกันรอยใด ๆ ก็ไม่พบว่าผิวกระจกหน้าจอเป็นรอยขีดข่วนหรือขนแมว ถือว่าทนทานดี และยังทำความสะอาดได้ง่าย ไม่มีฝุ่นหรือคราบตกค้างที่ขอบเครื่อง
ปุ่ม Home เครื่องทดสอบนี้ ไม่พบปัญหาหลวมโยกคลอนหรือเอียง ถือว่าปรับปรุงข้อบกพร่องของ Galaxy S6 / S6 edge ล็อตแรกแล้ว
ตัวเครื่องทั้งสองด้าน เป็นรอยนิ้วมือจากคราบมันได้ง่ายมาก ควรเช็ดด้วยผ้าไมโครไฟเบอร์บ่อย ๆ ถ้าสวมเคส แนะนำเป็นเคสใสชนิดบางนิ่ม จะยังเห็นความเงางามของตัวเครื่องอยู่บ้าง ดีไซน์สวยแบบนี้ ต้องโชว์กันหน่อย
ด้านหลังสีทองเงางาม กล้องนูนออกมาผิวตัวเครื่องค่อนข้างเยอะ แต่เท่าที่ใช้งานมา 6 สัปดาห์ วางบนโต๊ะแล้วหยิบขึ้นมาใช้งานเป็นระยะ ๆ ก็ยังไม่ทำให้ขอบกล้องเป็นรอยขีดข่วนหรือถลอกเลย ยอมรับว่าวัสดุดีขึ้นจริง ๆ
ทดสอบประสิทธิภาพด้วย Antutu Benchmark ได้ 68800
เล่นเกม หรือชมภาพยนตร์ ตอบโจทย์ได้ดีเยี่ยม ภาพสวย เสียงดี และที่สำคัญความร้อนนั้น แทบไม่รู้สึก
การชาร์จไฟ ถือว่าเร็วน่าพอใจทั้งการชาร์จผ่านสาย microUSB และ Wireless Charger และความร้อนในขณะชาร์จไฟ ก็ถือว่าน้อย ไม่มีปัญหาไฟรั่ว/ไฟดูดขณะชาร์จ แม้ว่าขอบตัวเครื่องเป็นอะลูมิเนียม
เมื่อเปิดอ่านเว็บไซต์หรือเล่น Social Network ก็อ่านได้ง่าย สบายตา ตัวอักษรคมกริบไร้รอยหยัก เพราะหน้าจอความละเอียดสูงมาก
ไม่ว่าจะใช้งานอยู่ในหน้า Lock Screen หรือหน้าใดก็ตาม สามารถเรียก 5 รายชื่อคนสนิท และ 5 แอปพลิเคชั่นที่ใช้งานบ่อย ไว้ที่ขอบจอ เรียกใช้ผ่าน Edge UX ได้สะดวก รวดเร็ว
นอกจาก People edge และ Apps edge แล้ว ยังมี Edge Lighting ทำหน้าที่เป็นไฟวิ่งตรงขอบจอ ในขณะที่มีสายเรียกเข้า แต่เครื่องคว่ำหน้าอยู่ได้
โชว์อัพเดตข่าวสารทันสมัยจากต่างประเทศเป็นตัววิ่งที่ขอบจอโค้งได้ด้วย
เปิดให้จอขอบ แสดงเป็นนาฬิกาในเวลากลางคืนก็ได้ แต่ก็เปลืองแบตเตอรี่ในระดับหนึ่ง
หน้า App drawe สั่งเรียงหรือลบแอปฯ ออกได้ง่าย ๆ ล้างแอปฯ ที่เปิดค้างอยู่ได้ด้วยปุ่ม Close all
ในส่วนของโทรศัพท์และเมนูตั้งค่า ใช้งานง่ายตามมาตรฐาน Android Lollipop
รองรับการเปลี่ยนธีม | ปลดล็อกหน้าจอได้ด้วยการสแกนนิ้วมือแบบวางทาบ ไม่ต้องถู แม่นยำกว่าเดิม
หลากหลายโหมดของกล้อง ที่น่าสนใจคือทำ Live Broadcast ถ่ายทอดสดขึ้น Youtube ได้ทันที
และทีเด็ดของ Galaxy S6 edge+ ก็คือ การปรับ Speed Shutter ได้
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหลัง
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหน้า
สิ่งที่ประทับใจ
- ขอบจอโค้งสองด้าน ดูล้ำสมัย หน้าจอสีสันสดใสตามสไตล์ sAMOLED
- ตัวเครื่องมีความร้อนน้อยมากขณะใช้งานหนัก
- กล้องที่เปิดถ่ายภาพนิ่งหรือวิดีโอนาน ๆ ก็เกิดความร้อนน้อยมาก จึงไม่ตัดการทำงานเพราะความร้อนสูง
- ชาร์จไฟเร็วพอสมควร ทั้งเสียบสายและไร้สาย
- คุณภาพของภาพถ่าย ถือว่ายอดเยี่ยมอยู่ในอันดับ Top 5 Smartphone ของโลก
- บันทึกภาพถ่ายลงเครื่องได้อย่างรวดเร็วมาก สปีดชัตเตอร์ทำงานได้เร็วอย่างที่โฆษณาไว้
- วัสดุและงานประกอบ ทำได้ดี
- ลำโพงเสียงดี เสียงย่านทุ้มและกลาง โดดเด่น ชัดเจนดี
- เปลี่ยน Theme ได้ ไม่มีเบื่อ
- มีครบทุกฟังก์ชั่นของ Smartphone ปี 2015 ที่ควรมีในระดับเรือธง
ข้อสังเกต
- น่าจะจำหน่ายรุ่น Dual SIM อย่างในประเทศเพื่อนบ้าน
- เปลี่ยนแบตเตอรี่เองไม่ได้ ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าเสื่อมสภาพเร็วมาก
- ใส่ microSD card ไม่ได้
- เห็นคราบมันจากนิ้วมือได้ง่ายมาก เพราะเป็นกระจกที่ไม่ใช่ผิวขุ่น
- ราคาสูงเกินความจำเป็น ยังไม่คุ้มค่าหากซื้อในระยะแรก
- Galaxy Note5 ถือได้กระชับมือดีกว่า เพราะขอบด้านหลังโค้งรับมือ
- ใช้ไปสักระยะหนึ่ง เครื่องจะหน่วง ปลดล็อกหน้าจอแบบ Swipe ครั้งเดียวอาจไม่ผ่าน
ตัวเลือกอื่นที่น่าสนใจ
- Sony Xperia Z5 Premium
- Samsung Galaxy Note5
- Apple iPhone 6s Plus
- Apple iPhone 6 Plus
- Samsung Galaxy S6 edge
- Huawei P8 Max
Leave a Reply