รีวิว Samsung Galaxy Note 3 รุ่นฮ็อตข้ามปี มีดีที่ปากกา
ในบรรดา Smartphone ราคาเกิน 2 หมื่นบาท ถ้าให้จัดอันดับรุ่นที่คนไทยชื่นชอบและอยากได้ แน่นอนว่า Samsung Galaxy Note 3 ก็ยังติดอันดับ Top 5 อย่างแน่นอน แม้ว่าจะวางจำหน่ายตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคม 2556 จนมาถึงวันนี้ใกล้กลางปี 2557 แต่กระแสก็ยังแรงข้ามปีเลยทีเดียว
Samsung Galaxy Note 3 ที่ซัมซุงนำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทย มี 2 รุ่นย่อย คือ รหัส N900 ราคาเปิดตัว 23,500 บาท และ N9005 ราคาเปิดตัว 24,900 บาท รวม 3 สี คือ สีดำ, สีขาว และล่าสุดสีชมพู ซึ่งมีจำนวนจำกัด
ปัจจุบัน Galaxy Note 3 ก็ยังขายดีอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดโตโยต้าจัดแคมเปญแถม Galaxy Note 3 สีขาว ก็ทำให้กระแสความแรงยังมีต่อเนื่อง เพราะหลายคนพยายามหาซื้อ Galaxy Note 3 จาก Toyota ในราคาพิเศษที่ราคาถูกกว่าปกติ
Galaxy Note 3 รุ่นแพง รหัส N9005 นั้น วางจำหน่ายทีหลังในราคาที่สูงขึ่น แต่ดีกว่าตรงที่รองรับการถ่ายวิดีโอความละเอียดสูงมากในระดับ 4K หรือ Ultra HD ที่สูงกว่า Full HD ถึง 4 เท่า, มี CPU SnapDragon ที่ดีกว่า CPU Exynos ของซัมซุงผลิตเอง และสุดท้ายก็คือ รองรับ 4G LTE ด้วย
ต้องขอชื่นชมซัมซุง ที่สามารถออกแบบ Galaxy รุ่นใหม่ๆ ให้ดูมีความ Premium ได้ โดยมีต้นทุนที่ต่ำมาก เพื่อผลกำไรสูงสุด (กำไรต่อเครื่อง หมื่นกว่าบาท) เมื่อเทียบกับคู่แข่งที่พยายามใช้วัสดุที่ดี ไม่ว่าจะเป็นกระจกหรืออลูมิเนียมทั้งตัว แม้ว่าจะดีกว่าพลาสติกหลายเท่า แต่กำไรต่อเครื่องจะน้อยลงอย่างมาก
Galaxy Note 3 เครื่องสีดำ ที่นำมารีวิวในครั้งนี้ เป็นรุ่น N900 ไม่รองรับ 4G LTE, ใช้ CPU Exynos คุณภาพต่ำกว่า และถ่ายวิดีโอได้ที่ความละเอียด Full HD เท่านั้น ย้ำกันอีกครั้งว่า ราคาเปิดตัว 23,500 บาท แต่ราคาขายจริงจะถูกกว่านี้ ต่อรองขอส่วนลดจากร้านค้าได้
สาย USB ที่ให้มา เป็นสายและขั้วต่อมาตรฐาน USB 3.0 เหมือนกับ External Harddisk ขนาดเล็กรุ่นใหม่ๆ ที่รับส่งข้อมูลได้ในระดับความเร็วที่สูงกว่า USB 2.0 สามารถนำสาย USB ของ Harddisk มาใช้ร่วมกันได้
Adapter และหูฟังที่ให้มาในกล่อง เป็นสีขาว ไม่ว่าเครื่องจะเป็นสีใดก็ตาม หูฟังแบบ In-ear มีจุกยางมาให้เปลี่ยนได้หลายขนาด ส่วนคุณภาพเสียงก็เพียงแค่พอใช้งานได้ เป็นแค่ของแถม ไม่เหมาะกับนักฟังเพลง
ปากกา มีหัวให้ถอดเปลี่ยนได้ เพราะใช้งานไประยะหนึ่ง หัวปากกาจะเริ่มหมดสภาพ จากแรงกดที่ขีดเขียนบนจอภาพ
ใบรับประกันและคู่มือแนะนำการใช้งานเบื้องต้น ซึ่งหากเป็น Galaxy Note 3 ของปลอมจะไม่มีให้
Galaxy Note 3 ของปลอมที่ทำปลอมได้ใกล้เคียงกับของแท้มากขึ้นเรื่อยๆ ต้องระวังกันให้ดี คู่มือภาษาไทบแบบนี้ น่าจะเป็นสิ่งยืนยันได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น จึงควรซื้อที่ร้านค้าใหญ่ในห้างสรรพสินค้า ที่ไว้ใจได้
หลังกล่อง มีระบุไว้ชัดเจน ว่าเป็นรุ่น N900 รองรับเฉพาะ 3G เท่านั้น และข้อความภาษาไทยบนกล่องจากโรงงาน ไม่ได้ใช้สติ๊กเกอร์แปะทับ เพื่อให้การปลอมแปลงทำได้ยาก ของปลอมคงจะไม่ลงทุนทำกล่องภาษาไทยขนาดนี้
มีสเปคบอกคร่าวๆ ดูไม่ยากเลย ความแตกต่างระหว่างรุ่น N900 กับ N9005 ที่รองรับ 4G LTE
ดีไซน์เดิมๆ อันแสนน่าเบื่อของซัมซุงที่ทุกคนคุ้นตากันอยู่แล้ว ช่องลำโพง เซ็นเซอร์ตรวจจับการแนบหู และกล้องหน้า พร้อมไฟแสดงสถานะซ่อนอยู่ทางซ้ายของโลโก้ Samsung
ด้านล่างเป็นปุ่ม Home ขนาดใหญ่ที่ทนทานมากกว่า iPhone และมีอีกสองปุ่มระบบสัมผัสซ่อนอยู่ทางฝั่งซ้ายและขวาของปุ่ม Home ในที่นี้จะเลือกปิดไฟแสดงตำแหน่งปุ่มทั้งสอง เพื่อประหยัดแบตเตอรี่
ด้านบนของตัวเครื่องมีช่องต่อหูฟัง, ไมโครโฟนตัดเสียงรบกวนรอบข้าง และพอร์ตอินฟราเรดเพื่อใช้งานเป็นรีโมทคอนโทรลได้ด้วย คู่กับแอพพลิเคชั่น WatchON
ปุ่มเปิด/ปิด อยู่ที่ด้านข้างของตัวเครื่องฝั่งขวา
ปุ่มเพิ่ม/ลดระดับเสียง อยู่ที่ด้านข้างของตัวเครื่องฝั่งซ้าย
ด้านล่างเป็นช่องรับเสียงเข้าไมโครโฟน ถัดไปเป็นพอร์ต USB 3.0 และช่องลำโพงใหญ่
ขอบตัวเครื่องทำด้วยพลาสติกเคลือบสีโครเมียมแล้วเคลือบใสอีกชั้นหนึ่ง เพื่อให้ดูคล้ายโลหะแวววาว
ฝาหลัง เรียบ นูนขึ้นมาในส่วนของกล้องและไฟแฟลช LED
ช่องเก็บปากกา Stylus ที่ซัมซุงเรียกปากกานี้ว่า S-Pen
ฝาหลังปั้มเป็นรอยเย็บที่ขอบทุกด้าน ไม่ใช่ด้ายจริง
ฝาหลังทำด้วยพลาสติกล้วน ขึ้นรูปเลียนแบบหนังเย็บ แต่สำหรับฝาหลังสีดำ ก็เคลือบผิวให้คล้ายยาง เพื่อให้ตัวเครื่องมีความหนืดมือ คล้ายหนังสัตว์ มีข้อเสียตรงที่ฝุ่นเกาะได้ง่ายมาก ทำความสะอาดได้ยากกว่าสีอื่นๆ
ในการวางเครื่องลงบนโต๊ะ ต้องระวังขอบกล้องที่นูนขึ้นมา เพราะเป็นรอยได้ง่าย
โลโก้ Samsung สีเงินทำเลียนแบบโลหะ
ขอบกล้องและแฟลช ทำสีโครเมียมเลียนแบบอลูมิเนียมลบขอบมุม
โดยรวมก็ถือว่า พยายามทำฝาหลังให้ดูดี ให้ความรู้สึกคล้ายหนัง ดีกว่า Galaxy Note รุ่นเก่า
ด้านหน้าเป็นกระจก แตกได้ยากขึ้น เพราะมีขอบเครื่องที่เป็นสีโครเมียมปกป้องไว้ในระดับหนึ่งแล้ว
จับค่อนข้างถนัดมือสำหรับผู้ชาย นิ้วโป้งตรงกับตำแหน่งของปุ่มปรับระดับเสียง และนิ้วชี้ตรงกับปุ่ม Power
จอภาพแบบ Super AMOLED ขนาด 5.7 นิ้ว ความละเอียด Full HD 1920 x 1080 พิกเซล ไม่ได้เคลือบดำให้ตัดแสงสะท้อน จึงมีปัญหาในขณะใช้งานกลางแดดในบางสถานการณ์
รุ่นนี้ไม่ได้กันละอองน้ำ ด้านในฝาหลังจึงไม่ได้ทำขอบป้องกันน้ำเข้าแผ่นวงจรไว้
ฝาหลัง งอได้ คืนรูปได้เร็ว ยืดหยุ่นดี
แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 3,200 mAh เพียงพอกับการใช้งานเกือบ 1 วันพอดี อาจต้องชาร์จในระหว่างวันบ้าง
ใช้ micro SIM card และใส่ microSD ซ้อนกันตามภาพ
แบตเตอรี่มีชิป NFC อยู่ภายใน
จุดเด่นของ Galaxy Note ก็คือ ปากกา S-Pen
น้ำหนักเบามาก ไม่ต้องใช้แบตเตอรี่ มีปุ่มกดคลิกสั่งงาน
วัสดุค่อนข้างดี ประณีตพอสมควร ทำวัสดุคล้ายโลหะ แต่ก็เป็นรอยขีดข่วนได้ง่ายเช่นเดิม
เมื่อดึงปากกา S-Pen ออกมา จะปรากฎเมนูพิเศษ ให้เราเลือกว่าจะใช้ปากกาทำอะไร
แค่นำปลายปากกาไปจ่อเหนือจอภาพ ไม่ต้องสัมผัสให้ถึงผิวจอภาพ ก็สั่งงานได้แล้ว
Action Memo : เรียกใช้บันทึกย่อของคุณทันที
Scrapbook : จัดระเบียบแง่มุมสำคัญๆ ของชีวิต
S Finder : ค้นหาจากทุกส่วนในโทรศัพท์ของคุณ รวมไปถึงเว็บ
Pen Window : ลากเพื่อทำงานง่ายๆ
Screen Write : เพลิดเพลินกับการเขียนคำอธิบายประกอบบนภาพที่ถ่าย
การสั่งงานเหนือจอภาพแบบนี้ ไม่ใช่เทคโนโลยีใหม่อะไร เพราะในอดีตก็มี Xperia Sola ที่เป็น Android Smartphone จาก Sony เป็นรุ่นแรกของโลก ที่สั่งงานได้ด้วยนิ้วมือไปจ่อ ไม่ต้องสัมผัสถึงจอภาพ แต่ Samsung เอาเทคโนโลยีเดียวกันนี้มาใช้กับปากกาที่มีปุ่มกดในตัว ทำให้กดเลือกได้ทันที ไม่ต้องสัมผัสย้ำบนจอภาพ
ปุ่มกดโทรออกขนาดใหญ่มาก สามารถปรับได้ว่าให้ปุ่มชิดไปข้างซ้ายหรือข้างขวา แล้วแต่ความถนัดหรือมือข้างที่ใช้ถือ Galaxy Note 3 บางคนก็ถนัดที่จะใช้สองมือในการกดโทรออกมากกว่า
บันทึกการใช้โทรศัพท์และ SMS ทั้งหมด บอกได้ละเอียดดี แยกเป็นครั้ง ไม่ยุบรวม
สมุดโทรศัพท์ ใส่ภาพประกอบได้ง่าย
หน้าจอ Lock Screen แบบเดิมๆ ของซัมซุง ปรับเปลี่ยนเป็นสีดำเพื่อประหยัดพลังงานของแบตเตอรี่
นาฬิกาบนหน้า Lock Screen สามารถเขี่ยลงมาเพื่อดูสภาพอากาศได้
หน้า Home Screen ที่เราสามารถปรับเปลี่ยนได้เองอิสระ เพื่อให้ใช้พื้นที่บนจอภาพได้กว้างขึ้น และเปลี่ยนสีพื้นหลังเป็นสีดำสนิท เพื่อลดการใช้พลังงานของจอภาพแบบ OLED
รายการแอพพลิเคชั่นมากมายที่ติดมากับตัวเครื่อง
Widget สวยงามมากมายจากซัมซุง แต่ไม่สวยงามเท่า Galaxy S5
หน้า Notification Center
ปุ่มลัดสำหรับเปิดปิดฟังก์ชั่นมากมายของเครื่อง สะดวกกว่าการเข้าไปเมนูตั้งค่า ที่อาจจะหาไม่พบ
เมนูหลักของการตั้งค่า แบ่งออกเป็น 4 หน้า ค่อนข้างซับซ้อนเลยทีเดียว เพราะลูกเล่นมีเยอะ
สินค้าล็อตล่าสุด มาพร้อมกับ Android 4.4.2 รุ่นล่าสุดแล้ว และจะมีอัพเดตอีกในอนาคต
ดูการใช้พลังงาน ซึ่งหากปรับตั้งค่าดีๆ ก็สามารถยืดอายุแบตเตอรี่ให้เพียงพอกับการใช้งานครบ 1 วันพอดี แต่ในทางปฏิบัติแล้ว เป็นไปได้ยาก ผู้ใช้ต้องศึกษาเป็นเวลานานจึงจะเข้าใจว่าทำไมแบตเตอรี่หมดเร็ว
ถ่ายภาพแบบใช้กล้องหน้ากับกล้องหลังพร้อมกันได้เหมือน Galaxy S4
มีแอพพลิเคชั่นมากมายในตัวเครื่อง ที่รองรับการเขียน จด วาด ปรับตั้งค่าลายเส้นและสีสันได้มากมาย
สุดท้ายในส่วนของตัวเครื่อง ก็คือ พอร์ต Infrared ที่เหมือนกับรีโมทคอนโทรลของ TV เมื่อเรียกใช้แอพพลิเคชั่น WatchON ก็ใช้งาน Galaxy Note 3 เป็นรีโมทสั่งงานอุปกรณ์ด้านภาพและเสียงได้ทันที
สเปคของ Galaxy Note 3 ที่สำคัญ
- รองรับ 3G ทุกเครือข่ายในไทย สำหรับรุ่น 4G ที่แพงกว่า ก็รองรับเครือข่าย true move H 4G LTE ด้วย
- รองรับ Wi-Fi ตามมาตรฐาน 802.11a/b/g/n/ac ครบครัน
- Bluetooth 4.0, DLNA, MHL, NFC รองรับทุกเทคโนโลยีการเชื่อมต่อ
- รุ่น N900 ใช้ CPU Samsung Exynos 1.9 GHz Quad-core คู่กับ 1.3 GHz Quad-core ที่บางคนเหมารวมง่ายๆ ว่าเป็น CPU Octa-core (8 คอร์) ส่วนรุ่น N9005 ใช้ CPU Qualcomm SnapDragon 2.3 GHz Quad-core ที่มีประสิทธิภาพในการทำงานสูงกว่า ประหยัดพลังงานมากกว่า มีปัญหาน้อยกว่า
- กล้องหลัง 13 ล้านพิกเซล และกล้องหน้า 2 ล้านพิกเซล
- หน้าจอชนิด Super AMOLED ขนาด 5.7 นิ้ว ความละเอียด 1920 x 1080 พิกเซล
- ขนาด 151.2 x 79.2 x 8.3 มม. (สูงxกว้างxลึก) น้ำหนัก 168 กรัม
- ถ่ายวิดีโอ คุณภาพระดับ Full HD หรือ Ultra HD แล้วแต่รุ่นที่เลือกว่าเป็น N900 หรือ N9005 ตามที่กล่าวมา
ตัวอย่างภาพถ่ายจาก Samsung Galaxy Note 3
คลิกที่ภาพ เพื่อดูขนาดจริง ทุกภาพไม่มีการปรับแต่งใดๆ
จากตัวอย่างภาพถ่ายทั้งหมด จะเห็นได้ว่า ในสภาวะแสงน้อย ก็ได้ภาพถ่ายที่มีคุณภาพดี Noise ในภาพมีต่ำ เก็บรายละเอียดของภาพได้ดีทั้งในส่วนที่มืดและส่วนที่สว่างในภาพเดียวกัน ถ่ายมาโครก็ทำได้ดี โฟกัสแม่นยำ ฉากหลังละลายดีพอสมควร สีสันและความสว่างของภาพ ถือว่าเหมาะสมกำลังดี ใกล้เคียงกับธรรมชาติ
โหมดประหยัดพลังงาน ทำงานได้ดี แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้มากนัก เพราะ Samsung ติดตั้งแอพพลิเคชั่นจำพวก Bloatware มามากมายในเครื่อง ที่ทำงานตลอดเวลา สิ้นเปลืองพลังงานโดยไม่จำเป็น และลบออกจากเครื่องไม่ได้ ทำให้หลายคนเรียกว่า “แอพขยะ”
เมนูการตั้งค่าของปากกา S-Pen และการสั่งงานด้วยเสียง
การตั้งค่าการสั่งงานด้วยการโบกมือ การเคลื่อนไหว หรือใช้ปากกา
Muti window เปิดใช้เมื่อต้องการเปิดแอพพลิเคชั่น 2 ตัวพร้อมกัน
แอพพลิเคชั่นที่รองรับ Multi window จะปรากฎ icon ทางซ้ายมือ เราก็แค่ดึงออกมา เพื่อเรียกใช้ ต้องการให้แอพใดอยู่ข้างบนหรือข้างล่าง ก็ลากได้ทันที
หน้า Lock Screen สามารถปรับแต่งได้เยอะกว่ายี่ห้ออื่น ในส่วนของนาฬิกาในหน้านี้ด้วยเช่นกัน
ตั้งชื่อส่วนตัวบน Lock Screen ได้ และเลือกใช้ฟอนต์ที่ต้องการได้ ยืดหยุ่นดี
Notification ก็ปรับเปลี่ยน ย้ายตำแหน่งได้อิสระ สำหรับมือใหม่ก็มี Easy mode ให้เลือกใช้
Block สายที่ไม่ต้องการได้ตามเงื่อนไข หน้าจอปรับตั้งค่าการแสดงผลของโทนสีได้
เก็บข้อมูลของการใช้ Data ได้ ตั้งค่าการทำงานของไฟ LED ใกล้ลำโพงสนทนาได้
สั่งงานด้วยปากกาได้สะดวก ด้วยฟังก์ชั่น Air command
เรียนรู้การใช้งานปากกาได้ไม่ยาก ต่อมา มาดูกันที่เมนูกล้องถ่ายภาพ/วิดีโอ
โหมดหรือซีนการถ่ายภาพสำเร็จรูป มีให้เลือกใช้มากมาย เพื่อความเหมาะสมในแต่ละสถานการณ์ แต่ส่วนใหญ่ ตั้งค่าแบบ Auto ก็ได้ผลดีอยู่แล้ว เพราะซอฟต์แวร์จะปรับให้เหมาะสมได้เองในระดับหนึ่ง
ลูกเล่นของกล้องถ่ายภาพมีมากมาย และมีประโยชน์อย่างมาก ระบบฉลาดดี
ปรับให้ใช้ปุ่ม Volume เป็นปุ่มชัตเตอร์ก็ได้ พร้อม Effect มากมายให้เลือกใช้
S Health แอพพลิเคชั่นที่ถูกใจคนรักสุขภาพ จะเก็บข้อมูลการเดิน วิ่ง ออกกำลังกาย และการเผาผลาญพลังงาน
เก็บสถิติทุกวัน ว่าเดินไปแค่ไหน ใช้พลังงานไปมากน้อยเพียงใด
เป็นแอพพลิเคชั่นที่มีประโยชน์มากทีเดียว ต่อมาเป็นแอพพลิเคชั่นบันทึกเสียง
เชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่นๆ ได้ด้วย Samsung Link ส่วน Samsung Hub ก็จะมีเนื้อหาที่ซัมซุงลิสต์เป็นรายการออกมา เผื่อว่าผู้ใช้จะสนใจรับชมความบันเทิงหรือเรียนรู้ในรูปแบบต่างๆ
Samsung Apps แอพพลิเคชั่นดีๆ ที่ซัมซุงแนะนำ
จดปฏิทินนัดหมายได้ง่ายๆ โดยใช้ปากกาหรือคีย์บอร์ดก็ได้ และสุดท้ายที่อยากให้ผู้ใช้ได้ลองปรับแต่งหน้าจอ Home Screen ให้เหมาะสมกับลักษณะการใช้งานของเราเอง ตามความชอบ ความสนใจส่วนตัว ไม่จำเป็นต้องยึดติดกับรูปแบบที่ผู้ผลิต Smartphone ได้เสนอมาให้ นี่เป็นข้อดีของ Android ที่ทำให้เราปรับแต่งหรือตั้งค่าหน้าจอได้อิสระ
บทสรุป
ซัมซุง กาแล็คซี่ โน้ต 3 เหมาะสมสำหรับผู้ที่จำเป็นต้องใช้ปากกาจดโน้ต เขียน วาด เพื่อบันทึกหรือแชร์ไปยังบุคคลอื่น ในชีวิตประจำวันชอบถ่ายภาพเก็บความประทับใจตลอดเวลา ชอบออกแบบในทางศิลปะ อะไรทำนองนี้ ก็เหมาะสมกับ Smartphone ที่มีปากกา อย่างในภาพข้างล่างนี้ ก็เป็นกรณีศึกษาของการประยุกต์ใช้การเขียนบนภาพถ่าย
แต่ถ้าซื้อมาด้วยเหตุผลอย่างเดียว คือจอภาพขนาดใหญ่ ก็คงไม่คุ้มค่า น่าจะมองหารุ่นอื่นที่ราคาต่ำกว่า แต่ได้จอภาพขนาดใหญ่ใกล้เคียงกัน ก็มีให้เลือกอยู่บ้างในตลาด
หรือหากคิดว่าไลฟสไตล์เป็นคนชอบถ่ายภาพ แต่ไม่ค่อยได้ใช้ปากกา ก็คงแนะนำให้เลือก Samsung Galaxy S5 จะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าในราคาใกล้เคียงกัน แต่ได้ภาพถ่ายที่มีคุณภาพดีกว่า Note 3
ข้อสังเกต
ของ Galaxy Note 3 ที่ต้องนำมาพิจารณาตัดสินใจ ก็คือ ปากกาที่มีประโยชน์กับบางคนเท่านั้น, ปัญหาเรื่องความร้อนบริเวณกล้องก็ยังมี, หน้าจอที่ยังไม่คมเนียนเมื่อเทียบกับจอภาพ IPS ที่มีความละเอียดเท่ากัน เพราะใช้พิกเซลเม็ดสีแบบลักไก่ เรียงเม็ดสีแบบใช้ร่วมกันกับพิกเซลที่ติดกัน เป็นการเรียงแบบ Pentile, และแบตเตอรี่ก้อนใหญ่ที่มีหมดเร็วเพราะในเครื่องมีแอพพลิเคชั่นไร้ประโยชน์มากมาย บางคนซื้อมาแล้วเลือกที่จะ Root ติดตั้ง ROM อื่นแทนที่ เพื่อบริหารจัดการการใช้ทรัพยากรในเครื่องให้ดีขึ้นด้วยตนเอง ให้มีความลื่นไหลและประหยัดพลังงานใกล้เคียงกับ Pure Android เชื่อว่าการเผยโฉมของ Galaxy Note 5 ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ จะแก้ไขข้อบกพร่องต่างๆ เหมือนอย่างที่ Galaxy S5 ปรับปรุงให้ดีกว่า S4 ค่อนข้างมากเลยทีเดียว
ตัวเลือกอื่นในระดับราคาเดียวกัน โดยไม่ได้คำนึงเรื่องปากกา Stylus
Leave a Reply